บทที่ 4.10
คุนิ.. นักบาสเกตบอลมือหนึ่ง
เท็นคัง คุนิยูกิ เป็นคนโอกินาว่าโดยแท้จริง. ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ก็เป็นคน อุจินันชู ด้วย (หมายถึงคนโอกินาว่าดั้งเดิม ไม่ใช่คนที่อพยพมาจากที่อื่น) หลังจากที่คุณพ่อเรียนจบชั้นม.ปลายจากโรงเรียนในโอกินาว่า ก็ได้ไปเรียนต่อคณะแพทย์ศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในแผ่นดินใหญ่ (เนื่องจากโอกินาว่าเป็นแค่เกาะเล็กๆ คำว่าแผ่นดินใหญ่ในที่นี้หมายถึงเกาะหลักของญี่ปุ่น แต่ไม่ได้ระบุว่าเป็นเกาะฮอนชู คิวชู หรือฮอกไกโดค่ะ ) พอเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วก็กลับมาเป็นคุณหมอที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเมืองนาฮา จ.โอกินาว่า ในตอนที่ภรรยากำลังตั้งท้องพอดี. พอคุนิขึ้นชั้นม.ปลาย. คุณพ่อก็ลาออกจากงานที่โรงพยาบาลแล้วมาเปิดคลินิคของตัวเอง
คุนิมีพี่สาวและน้องสาวหนึ่งคน ถึงแม้จะเป็นลูกคนกลาง แต่ก็นับว่าเป็นลูกชายคนโตที่ใครๆก็คาดหวังว่าจะต้องเป็นหมอและรับช่วงทำงานคลินิคของทางบ้านต่อไป ไม่ว่าจะเป็นญาติๆหรือคนรอบๆตัว ทุกคนก็มักจะพูดและถามถึงเรื่องนี้เสมอๆ
แต่ว่าตัวคุณพ่อเอง หรือคุณแม่ที่เป็นแม่บ้านมีเวลาเลี้ยงลูกเต็มตัว. กลับไม่เคยพูดซักครั้งว่า อยากให้ลูกเป็นหมอและรับช่วงต่องานที่บ้าน
ตอนที่ขึ้นชั้น ม.ต้น. คุณแม่ก็เคยพูดเปรยๆขึ้นมาเหมือนกันว่า.
"ถ้าอยากจะสอบเข้าคณะแพทย์ละก็ พอขึ้นม.ปลายก็น่าจะต้องเริ่มมองหาที่เรียนกวดวิชา และเอาจริงเอาจังกับการเรียน งั้นก็เข้าโรงเรียนเอกชนที่เน้นวิชาการหน่อยน่าจะดีนะ "
แต่คุณพ่อนั้นไม่เคยพูดถึงเรื่องการเรียนกับคุนิเลย
จนคุนิเริ่มคิดสงสัยว่า. ทำไมคุณพ่อถึงไม่พูดถึงเรื่องเรียนต่อแพทย์กับเขาเลยนะ
ตอนที่คุนิอายุประมาณ 7 ขวบ เคยมองแผ่นหลังของคุณพ่อแล้วจินตนาการถึงสิ่งที่อยู่ในใจ ..
คุณพ่อคิดอะไรอยู่นะ
ทั้งที่อยากรู้มากๆ แต่ก็ไม่กล้าถามออกไป
"เพราะว่าหมองานหนักมาก ก็เลยไม่อยากให้เราเป็นหรือเปล่านะ แต่ที่จริงแล้วลึกๆคุณพ่ออาจจะอยากให้เราเป็นหมอเพื่อรับช่วงต่อที่คลินิกก็ได้ .. หรือไม่ใช่น๊า"
ในเรียงความชั้นประถม หัวข้อความฝันของฉัน คุนิก็เลยเขียนไปว่า "อยากจะเป็นคุณหมอเหมือนคุณพ่อครับ" และด้วยความฝันนั้น ทำให้คุนิรู้สึกชอบการเรียนหนังสือขึ้นมา ในการสอบทุกๆครั้งก็ได้คะแนนดีๆตลอด พอคุณแม่พูดชมอย่างอารมณ์ดี ก็ทำให้คุนิดีใจและอยากจะตั้งใจเรียนขึ้นไปอีก
ตอนเรียนชั้นม.ต้น คุนิสอบได้คะแนนเป็นอันดับ 1 ของชั้นปีตลอด ทำให้ทั้งคุณครูและคุณแม่ไม่เคยเป็นห่วงเรื่องสอบเข้าเลยซักนิด
คุนิสอบเข้าโรงเรียนมัธยมที่มีคะแนนค่อนข้างสูงได้สบาย และทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป
" คุนิจังอยากเป็นคุณหมอจริงๆเลยน๊า"
" เรียนเก่งจัง สุดยอดไปเลย"
ถึงแม้คุนิในวัย 12 ปีจะได้รับคำชมเรื่องการเรียนจากใครต่อใคร ก็ไม่ได้รู้สึกดีใจเหมือนแต่ก่อน
ความรู้สึกอยากเป็นคุณหมอเหมือนคุณพ่อเริ่มเลือนลางไป อาจจะเป็นเพราะเริ่มเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ก็เลยรู้สึกขึ้นมาว่า. นี่เราอยากเป็นหมอจริงๆเหรอ
"คุณพ่อมักจะยุ่งกับงานที่คลินิคจนไม่ได้กลับบ้านอยู่เสมอ จริงๆนี่เราเติบโตมาเหมือนเด็กไม่มีพ่อเลยนะ "
ความคิดด้านลบในช่วงวัยต่อต้านเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ. และผลการเรียนก็ตกต่ำลงเรื่อยๆเหมือนกัน
คุนิชอบเวลาที่ได้อยุ่กับเพื่อนมากที่สุด บ่อยครั้งที่เขาโดดเรียนกวดวิชาเพื่อจะได้อยู่กับเพื่อนๆ. ในตอนนั้น เขาไม่ได้สนใจเรียนเลยซักนิดเดียว
ถ้าไม่ได้เอาดีทางเรื่องเรียนแล้ว .. ไปเอาดีทางด้านกีฬาบ้างดีกว่า
คุนิที่เป็นคนมีประสาทตอบสนองว่องไว ในชั่วโมงพละ เขานับว่าเป็นนักเรียนคนนึงที่มีเซ๊นส์ทางด้านกีฬาโดดเด่นมากเลยทีเดียว
จากความนิยมของเจลีก ปี 1993 ทำให้การเล่นฟุตบอลเริ่มเป็นกระแสฮิตในโอกินาว่า คุนิเองก็เป็นแฟนตัวยงของการ์ตูนกัปตันสึบาสะด้วย ทำให้เขาเข้าชมรมฟุตบอลและเริ่มวาดฝันว่าตัวเองจะเล่นฟุตบอลตั้งแต่ชั้น ม.ต้น ต่อไปจนเข้าชั้นม.ปลาย. ได้เป็นตัวแทนไปแข่งระดับประเทศ เป็นนักฟุตบอลอาชีพเข้าซักวัน ถึงการซ้อมหนักในชมรมจะน่าเบื่อ แต่ก็ยังทนต่อไปได้
อีกหนึ่งแรงบันดาลใจในการเล่นฟุตบอลก็คือเพื่อนคนนึงที่สนิทกันมาตั้งแต่ประถม เป็นเด็กที่ย้ายมาจาก จ.ชิสึโอกะ และเขาก็บ้าฟุตบอลมาก พอได้เรียนต่อ ม.ต้นที่เดียวกัน เขาก็เป็นคนชวนคุนิเข้าชมรมฟุตบอล จนได้เล่นบอลด้วยกันเป็นประจำ
"ถ้าเป็นคุนิละก็ ได้เป็นตัวจริงแน่นอน " เพื่อนของเขาพูดเอาไว้
และคุนิก็ได้เล่นเป็นตัวจริงตามนั้น. แต่พอเข้าชมรม และเป็นตัวจริงได้ไม่ทันไร. ก็มีเพื่อนมาขอร้องวิงวอนให้ช่วยไปเล่นเป็นนักกีฬาให้ชมรมบาสเก็ตบอลหน่อย คุนิก็ตอบรับแบบเลี่ยงไม่ได้
ทำไมถึงมาชวนชั้นเข้าชมรมกันนะ?
ชั้นเองก็สูงแค่ 145 เซ็น นับว่าไม่ได้เป็นคนสูงมากอะไรด้วยซ้ำ
เออ แต่ช่างมันเถอะ อาจจะได้เป็นเหมือนซากุรางิในแสลมดังค์ก็ได้
คุนิเป็นคนมองโลกในแง่ดี ตอนแรกๆ ก็ทำกิจกรรมของชมรมบาสไปเรื่อยๆแบบไม่คิดมากอะไร แต่พอเริ่มเล่นไปเรื่อยๆก็เริ่มหลงรักบาสแบบจริงจัง ไม่ว่าจะหลับหรือตื่นก็มีแต่เรื่องบาสอยู่ในหัวตลอดเวลา
เขาเรียนต่อม.ปลายที่โรงเรียนเดิม ก็เลยไม่ต้องเครียดเรื่องสอบเข้าม.ปลาย ดังนั้นเขาก็เลยมีเวลาทุ่มเทให้กับบาสเก็ตบอลอย่างจริงจังตลอด 6 ปี จนลืมเรื่องฟุตบอลไปเลย
ตอนที่เข้าชมรมบาสใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นบาสเก็ตบอล หรือฟุตบอล คุนิที่สูงเพียงแค่ 145 เซ็น แทบไม่มีโอกาสได้แตะลูกบอลเลยด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็กล้าที่จะเข้าประจันหน้ากับนักกีฬาตัวใหญ่ๆอย่างไม่เกรงกลัว เขาจ้องมองฝั่งตรงข้ามอย่างไม่กระพริบตา และใช้เทคนิคการก้าวเท้าที่รวดเร็ว เลี้ยงลูกผ่านไปได้อย่างสวยงามหลายๆครั้ง ด้วยเทคนิคการเล่นที่หลากหลาย ทำให้เขาได้เป็นนักกีฬาตัวจริงลงแข่งในหลายๆงาน
พอเล่นบาสเหนื่อยๆก็มักจะหิวมากๆ และก็กินอาหารได้เยอะขึ้น เมื่อได้เล่นกีฬา กินข้าวและพักผ่อนอย่างเพียงพอ ร่างกายก็สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ในปีเดียวเขาสูงขึ้นถึง 25 cm และเกรดก็ตกฮวบสวนทางกับความสูงเช่นกัน แต่คุนิก็ไม่ได้ร้อนใจอะไรกับเรื่องการเรียนเลยซักนิด
ทำไมต้องเรียนด้วยล่ะ?
การตั้งใจเรียนตอนนี้ ก็เพื่อเป็นประตูในการผ่านเข้ามหาวิทยาลัยเท่านั้นแหละ ความรู้เหล่านั้นมันจำเป็นในการใช้ชีวิตด้วยเหรอ ?
อ่า บางที เราอาจจะต้องเรียนไปเพื่อพัฒนาความรู้ของเราให้มากขึ้นก็ได้
แต่ความรู้นั้นก็ใช่ว่าจะมีแค่ในห้องเรียนซะหน่อย
ควรจะคิดว่าอยากเป็นอะไร แล้วมุ่งไปทางนั้นดีกว่า
ในตอนนั้น. คุนิมีข้ออ้างให้ตัวเองมากมายในการไม่เรียนหนังสือ
พวเข้าชั้น ม.ปลาย. คุนิก็สูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนถึง 175 cm ประกอบกับเซ๊นส์ทางด้านกีฬาและเทคนิคการเล่นที่ดีเยี่ยม ทำให้เขาเป็นตัวยิง 3 คะแนนของทีม เป็นักกีฬาที่นักเรียนโรงเรียนต่างๆจับตามอง
ยิ่งมีเสียงเชียร์มากขึ้น ก็ยิ่งรู้สึกว่าจะต้องเก่งมากขึ้นไปอีก
คุนิขอคุณพ่อดัดแปลงลานจอดรถของที่บ้านเป็นสนามบาสขนาดเล็กๆที่สามารถเล่นแบบ 3 on 3 ได้ เพื่อเอาไว้ซ้อมและคุณพ่อก็อนุญาติอย่างง่ายดาย
การฝึกซ้อมนั้นสนุกมาก หลังจากซ้อมบาสที่ชมรมของโรงเรียนแล้ว. คุนิกับเพื่อนๆก็มักจะมาเล่นบาสกันต่อที่สนามในสวนสาธารณะ. พอกลับถึงมาก็มาเล่นบาสต่อที่บ้านอีก ซ้อมชู้ทลูกซ้ำไปซ้ำมาจนเมื่อไหร่ที่คุณตาบ้านข้างๆบอกว่า "หนวกหูจังโว้ย" นั่นก็เป็นเหมือนนกหวีดบอกให้เลิกซ้อมได้ แต่ถึงอย่างนั้น. ขนาดกินข้าวเย็นเสร็จ เตรียมเข้านอน. ในหัวยังเอาแต่คิดถึงบาสเก็ตบอลตลอดเวลา บางครั้งก็ลองจินตนาการเป็นนักกีฬา NBA ชื่อดังอย่าง ไมเคิล จอร์แดน แล้วลองเลียนแบบท่าเล่น เทคนิคต่างๆ พอทำได้เหมือนไมเคิล จอร์แดนจริงๆแล้วก็ตะโกนร้องดีใจทุกครั้งไป
" ทำได้แล้ว สุดยอด. ชั้นนี่มันสุดยอดจริงๆ. ชั้นนี่ ..เป็นอัจฉริยะทางบาสหรือเปล่านะ ฮะๆๆ"
พอดีใจแล้วก็จะอารมณ์ดี. อยากจะซ้อมต่อไปเรื่อยๆ
ตอนที่อยู่คนเดียว เขาก็มักจะฟังเพลงแล้วก็ซ้อมยิงลูกลงห่วงบาสอยุ่เสมอ
นอกจากเรื่องบาสแล้ว. คุนิก็ชอบฟังเพลงมาตั้งแต่ม.ต้น วงที่ชอบก็คือ Southern All Stars, B'Z, X-Japan ที่โด่งดังมากสมัยนั้น. นอกจากนี้ก็ยังฟังเพลงร็อคหนักๆ อย่างพวกแนว heavy metal อีกด้วย
จริงๆแล้วเรียกได้ว่าเป็นคนฟังเพลงทุกแนวขนาดที่ถ้าเพื่อนถามว่า "นี่ๆ รู้จักเพลงนั้นมั้ย" ไม่เคยมีเพลงไหนที่คุนิตอบว่า ไม่รู้จัก
ในช่วง ม.ปลาย ก็มีเพื่อนมาชวนไปทำวงดนตรีอยู่เหมือนกัน แต่คุนิก็ปฏิเสธไปเพราะว่าอยากเล่นบาสมากกว่า ถ้าเกิดทำวงดนตรี ก็คงจะไม่มีเวลามาซ้อมบาสแน่ๆ เมื่อคิดได้แบบนั้นก็เลยใช้เวลาทั้งหมดในชีวิตม.ปลายไปกับการเล่นบาสอย่างจริงจัง. พอรู้ตัวอีกทีก็ขึ้นชั้น ม. 6 ช่วงเวลาที่ต้องตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตครั้งใหญ่ได้มาถึงแล้ว นับเป็นทางแยกที่หนักหนาสาหัสเลยทีเดียว
ฉันจะไปเรียนมหาวิทยาลัยไหนดีนะ
เพราะว่าชอบบาสมากๆ. งั้นก็เลือกมหาลัยที่มีชมรมบาสแข็งแกร่งหน่อยน่าจะดีละมั้ง
รวมกับความเห็นของคนรอบข้างที่พากันบอกว่า " คุนิจัง ก็คงเลือกเป็นคุณหมอเหมือนคุณพ่อสินะ" คุนิก็เลยเลือกมหาวิทยาลัยที่มีคณะแพทย์ และ ชมรมบาสเก่งๆ และยื่นใบสมัครไปตามนั้น
สาขาในคณะแพทย์ที่เขาสนใจก็คือ ทันตแพทย์ เพราะว่าตอนเด็กๆเขาเคยได้รับความช่วยเหลือจากทันตแพทย์ใกล้บ้านในการรักษาฟันที่ปวดมานาน เขาก็เลยชอบหมอฟันเป็นพิเศษ
อยากจะรักษาฟันให้เด็กๆแบบหมอคนนั้นบ้างจังเลยนะ
อยากเป็นทันตแพทย์และนักบาสเก็ตบอล. นั่นคือความฝันสองอย่างที่คุนิคิดไว้ในตอนนั้น
คุนิส่งใบสมัครเข้าคณะแพทย์ทั้งมหาวิทยาลัยรัฐบาลและเอกชน แต่สุดท้ายแล้วก็สอบตกทั้งหมด
มันก็แน่นอนแหละ. เพราะก่อนหน้าวันสอบ เขาก็ยังเล่นบาสอยู่เลย. ไม่ได้อ่านหนังสืออย่างจริงจังซักนิดเดียว การที่ผลออกมาแบบนั้นเขาก็เลยไม่ได้ช็อกหรือตกใจอะไรมากนัก
แล้วชีวิตของการเป็นเด็กเตรียมเอ็นท์ก็เริ่มขึ้น ( ไม่แน่ใจว่าใช้คำว่าเด็กซิ่วได้มั้ยนะคะ . ที่ญี่ปุ่นใช้คำว่าเป็น ronin คือเป็นเด็กที่จบ ม.หกแล้วแต่เอ็นท์ไม่ติด. ดังนั้นก็ต้องเตรียมเอ็นท์โดยไปเรียนกวดวิชาต่างๆ เพื่อเตรียมสอบในปีถัดไปค่ะ. เรียกว่าเสียเวลาไปอีกหนึ่งปีเลย)
การเป็นเด็กเตรียมเอนท์ ก็ไม่ได้ทำให้คุนิตระหนักในเรื่องการเรียนอย่างจริงจังซักเท่าไหร่ เขามักจะโดดเรียนกวดวิชาบ่อยๆ
พออายุได้ 18 ปี. คุนิก็รีบไปสอบใบขับขี่ทันที. ที่บ้านนั้นมีรถอยู่คนนึงที่พี่สาวทิ้งเอาไว้เพราะต้องไปทำงานที่โตเกียว.ในโอกินาว่าที่รถไฟไม่ได้เข้าถึงสถานที่ต่างๆมากมายนั้น. การมีรถขับ หรือไม่มีรถขับ นับว่าเป็นเส้นแบ่งความเป็นเด็กกับผุ้ใหญ่เลยทีเดียว แค่มีรถและมีใบขับขี่ ก็เหมือนเป็นฮีโร่ในหมู่เพื่อนๆแล้ว
"วันนี้ขับรถไปที่โน่นดีกว่า "
ว่าแล้วก็หยิบกุญแจ ออกสตาร์ทรถ แล้วขับไปเที่ยวกับเพื่อนๆอย่างสนุกสนาน รู้สึกว่าชีวิตช่างอิสระและมีความสุขเหลือเกิน
ดีจังเลยน๊าชีวิตแบบนี้ อยากให้เป็นแบบนี้ตลอดไปเลย
คุนิโดดเรียนกวดวิชาครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อขับรถไปเที่ยวที่ต่างๆกับเพื่อนๆ จนอยู่มาวันหนึ่ง คุณพ่อก็เรียกเข้าไปคุย
"คุนิ พ่อมีเรื่องจะคุยด้วย. เข้ามาที่ห้องหน่อยสิ"
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่คุณพ่อเรียกเข้าไปคุยในห้องด้วยสีหน้าจริงจัง
เรื่องอะไรนั้น ไม่ต้องบอกก็รู้อยู่แล้ว. ว่าต้องเป็นเรื่องการใช้ชีวิตลอยชายไปๆมาๆทั้งๆที่เป็นนักเรียนเตรียมเอนท์อยู่แน่ๆ
คุณพ่อไม่ได้โกรธเลยซักนิดเดียว ท่านมองตาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงธรรมดามากๆ
"ถ้าไม่ได้อยากเป็นหมอ พ่อก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ แต่จะมาใช้เวลาแบบไร้สาระแบบนี้ไปเรื่อยๆไม่ได้. จะไม่ไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยก็ได้. แต่ยังไงก็ต้องรู้จักทำงานหาเลี้ยงตัวเอง ถ้าไม่อยากเรียนก็ไปหางานทำซะ"
ใช้เวลาแบบไร้สาระ....สิ่งที่คุณพ่อพูดมานั้นถูกต้องทุกอย่างจนเถียงไม่ออก
นั่นสินะ. .. ก็คงต้องหางานทำแล้วละ
ว่าแต่ เราจะไปทำงานอะไรได้ล่ะ
คิดยังไงก็ยิ่งคิดไม่ออก. นอกจากเรื่องบาสเก็ตบอลแล้วก็ยังไม่เห็นว่าจะมีอะไรที่ตัวเองทำได้ซักอย่าง
เช้าวันถัดมา พอเห็นหน้าคุณพ่อ. คุนิก็พูดออกไปตามที่คิด
" คุณพ่อ. ผมอยากทำงานเกี่ยวกับบาสครับ"
"อืม"
คุณพ่อตอบมาสั้นๆ. ไม่ได้โกรธหรือโมโหอะไรทั้งสิ้น แต่คำที่พูดออกมานั้นทำให้คุนิคิดได้อีกครั้ง
"คุนิ ลูกคิดว่าจะหาเลี้ยงปากท้องได้ด้วยบาสเก็ตบอลจริงๆเหรอ
ถ้าคิดว่าทำได้ก็ทำไปเถอะ. แต่ว่า กว่าจะเล่นให้เก่งเป็นอาชีพหาเลี้ยงตัวเองได้ คิดว่าต้องใช้เวลาอีกกี่ปีล่ะ"
บาสเก็ตบอลคือสิ่งที่ชอบที่สุดในโลก ..เป็นสิ่งที่มั่นใจมาก แต่การที่จะเป็นนักกีฬามืออาชีพ ตัวแทนประเทศญี่ปุ่น หรือไปให้ถึง NBA นั้น เราจะทำได้จริงๆเหรอ ยิ่งถามตัวเองมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งไม่แน่ใจในคำตอบมากเท่านั้น
" น่าจะ ... ทำไม่ได้ครับ"
" ใช่มั้ย .. งั้น ...ลองดูสองมือของลูกซิว่าทำงานอะไรได้บ้าง. งานที่สามารถหาเลี้ยงตัวเองได้อย่างเหมาะสมจริงๆน่ะ"
" อ่า.....ครับ"
คุนิถอนหายใจพร้อมกับก้มหัวให้คุณพ่อ
ถ้าเกิดไม่ไปเรียนกวดวิชาแล้ว ..จะทำงานอะไรได้บ้างนะ
คุนิที่เคยมีความคิดในหัวแค่เรื่องบาสกับการเป็นทันตแพทย์มาตลอด. การจะต้องมาคิดหาทำงานอื่นๆนอกจากนี้เป็นเรื่องยากเหลือเกิน ..
จะไปเรียนสายอาชีพแล้วทำงานงั้นเหรอ ..
แล้วชั้นจะเรียนอะไรดีล่ะ คิดไม่ออกเลย
คุนิเริ่มหาสายอาชีพต่างๆในเน็ท แต่ก็ไม่ปิ๊งกับอาชีพไหนเลยซักอันเดียว
พอมองเห็นแผ่นหลังของคุนิที่ห่อเหี่ยวเป็นกังวล คุณแม่ก็พูดกับคุณพ่อว่า
"ให้เวลาลูกอีกซักปีนึงเถอะ"
" คุนิจัง คราวนี้ลูกไปเรียนโรงเรียนกวดวิชาในโตเกียวนะ จะได้เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง"
"..ครับ"
คุนิที่ยังตัดสินใจอนาคตของตัวเองไม่ได้ ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินทางจากบ้านที่โอกินาว่ามาอยู่หอพักโรงเรียนกวดวิชานั้นอยู่ในโตเกียว. แต่หอพักของโรงเรียนอยู่ใน จ.ชิบะ เมื่อเริ่มเดินทางไป กลับ จากหอพักและที่โรงเรียนนานวันเข้าก็เริ่มรู้สึกอยากออกนอกลู่นอกทางไปเที่ยวเล่นมากขึ้นทุกวัน
หอพักนั้นมีนักเรียนทั้งหมด 18 คน. มีการจัดการที่ค่อนข้างหละหลวมมากๆ ผู้ดุแลหอเป็นคุณตาและคุณยายที่ค่อนข้างใจดี ถึงจะมีช่วงเวลาเคอร์ฟิวก็จริง แต่คุณตาก็ให้เด็กๆจดเวลา เข้า ออก ที่หอกันเอง ดังนั้น ถึงจะไปค้างคืนข้างนอก ก็แค่เขียนเวลากลับให้อยู่ในช่วงเคอร์ฟิวก็เป็นอันใช้ได้
ที่โรงเรียนมีสิ่งแวดล้อมที่เอื้อให้เรียนรู้ด้วยตัวเองตลอดเวลา มีแบบทดสอบจำลองต่างๆให้ทำอยุ่เสมอ สำหรับคุนิแล้วก็ถือว่าการมาเรียนที่นี่ ทำให้ได้เรียนมากขึ้นอยู่เหมือนกัน .. แต่ก็ในช่วงแรกๆเท่านั้น
"วันนี้กับข้าวที่หอไม่อร่อยเลยอะ ไปกินข้างนอกกันเถอะ"
เริ่มจากการออกไปกินข้าวข้างนอกกับเพื่อนๆบ้าง. แล้วก็ไปเที่ยวคาราโอเกะ. แล้วก็ไปขอเล่นบาสที่โรงยิมของโรงเรียนใกล้ๆหอพัก
" นี่ๆ ฉันพักอยู่ใกล้ๆนี่แหละ. ให้ฉันเล่นบาสด้วยคนได้ป่าว"
คุนิเดินเข้าไปขอคนแปลกหน้าเล่นบาสอย่างไม่เคอะเขิน แล้วจากนั้นเขาก็ไปเล่นอยู่เรื่อยๆเป็นประจำ
อา... ชั้นนี่ชอบบาสจริงๆเลย
คุณพ่อทำท่าทีเหมือนไม่สนใจลูกชายที่มาเรียนต่างเมืองเพียงคนเดียว แต่คุณแม่นั้นคอยติดตามผลงานของลูกชายอยู่ตลอด. และแล้ววันหนึ่ง คุณแม่ก็โทรมาหา
" ถ้าไม่คิดจะสนใจเรียนขนาดนั้นละก็. แม่ว่าไม่ต้องสอบให้เสียเวลาหรอก คิดเลยดีกว่าว่าจะทำงานอะไร เสียเวลาเที่ยวเล่นไปตั้งสองปีแล้ว ได้อะไรขึ้นมาบ้าง? ถ้าจะทำตัวแบบนี้ก็หาเงินใช้เองแล้วกันนะ"
อา..คุณแม่คงจะได้ดูรายงานผลการเรียนจากโรงเรียนแน่ๆเลย
ด้วยคำพูดของคุณแม่ในวันนั้นทำให้คุนิต้องมาคิดจริงจังกับชีวิตอีกครั้ง
พอลองเอาผลการเรียมาดูว่าคะแนนพอจะเข้าคณะแพทย์มหาลัยไหนได้บ้าง ก็เจออยู่ที่นึง
คณะทันแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยโคริยาม่า จ. ฟุคุชิม่า
หลังจากยื่นคะแนนแล้ว การสอบเข้าก็เหลือแต่การเขียนเรียงความและสอบสัมภาษณ์.
เรียงความนั้นเป็นหัวข้อที่เกี่ยวกับ "การสื่อสารระหว่างผู้คน" คุนิที่เป็นคนอัธยาศัยดีอยู่แล้วก็รุ้สึกว่าเขียนได้ไม่ยากเท่าไหร่
เอาละ ที่เหลือก็สอบสัมภาษณ์ละนะ
ในการสัมภาษณ์ตอนบ่าย .. เป็นการสัมภาษณ์กับศาตราจารย์ 2 คน และผุ้สมัคร 2 คน
ได้รับคำถามมาว่า "ถ้าเข้ามหาวิทยาลัยแล้วอยากจะทำอะไร"
ผู้สมัครอีกคนนึงตอบว่า " จะตั้งใจเรียนเพื่อเป็นทันตแพทย์ที่ดีให้ได้เลยครับ".
ช่างเป็นคำตอบที่จริงจังสุดๆไปเลย
ส่วนคุนินั้นตอบอาจารย์ไปทันทีเลยว่า "อยากเล่นบาสเก็ตบอลครับ. อยากเข้าชมรมแล้วเล่นบาสเก็ตบอลทันทีเลย. ผมชอบบาสสุดๆไปเลย"
พอรุ้สึกตัวก็คิดได้ว่า .. อา..เป็นคำตอบที่ไม่ควรพูดหรือเปล่านะ ก็เลยเสริมไปอีกนิดนึง
"เอ่อ แต่ก็จะทำควบคู่ไปกับการเรียนอย่างเต็มที่นะครับ ... "
ศาสตราจารย์ทั้งสองท่านทำหน้าแปลกๆ. เด็กคนนี้คงเป็นผู้สมัครคนเดียวที่ตอบอะไรแหวกแนวแบบนี้
" เธอชอบเล่นบาสเหรอ .. เล่นตำแหน่งอะไรอยู่ล่ะ"
"เล่นได้ทุกตำแหน่งเลยครับ จะเป็น เล็ฟการ์ด หรือตัวยิงก็ได้ เออ ผมยังไม่เคยเล่นเป็นเซ็นเตอร์นะ แต่ก็คิดว่าน่าจะเล่นได้ครับ"
"เหรอ .. แล้วเล่นบาสมากี่ปีแล้วล่ะ"
" ผมเล่นมาตั้งแต่ม.ต้น จนถึงม.ปลาย ก็หกปีครับ แต่ที่จริงตอนเป็นเด็กเตรียมเอ็นท์ ผมก็เล่นบาสอยู่ตลอด. รวมๆแล้วก็ประมาณ 8 ปีได้"
"เป็นเด็กเตรียมเอนท์ก็ยังเล่นบาสอีกเหรอ" อาจารย์เลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย
"อ่า..ครับ. ..พอดีว่าใกล้ๆหอพักโรงเรียนเตรียม มีเด็กๆม.ปลายเขาเล่นกันอยู่แล้ว ผมก็เลยไปขอเล่นด้วย. บางครั้งก็มีคนทำงานมาเล่นด้วยกันบ้าง ..."
พอเป็นเรื่องบาสแล้ว. คุนิก็พูดได้ไม่หยุด. มีความผ่อนคลายขึ้นมากอย่างชัดเจน
การสัมภาษณ์จบไปแบบงงๆ ..
เอ่..ที่เราเอาแต่พูดถึงเรื่องบาสนี่. จะเป็นอะไรไหมหว่า ..
คุนิกลับบ้านที่โอกินาว่าด้วยใจตุบๆต่อมๆ
และไม่กี่วันต่อมา. ก็มีจดหมายแจ้งผลการสอบมาถึงที่บ้าน
ผลปรากฎว่า สอบผ่าน
ทันทีที่ได้รู้ว่า. ได้เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยแพทย์แล้ว ก็รู้สึกโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก
แค่นี้ก็คงพอทำให้ที่บ้านสบายใจได้บ้างละนะ
คุนิเริ่มเดินทางย้ายไปอยู่ที่ฟุคุชิม่า. เป็นการเดินทางไปภูมิภาคโทโฮคุครั้งแรกในชีวิตทีเดียว
อ่า..ฟุคุชิม่านี่ มีหิมะตกด้วยสินะ
สำหรับคนที่เกิดในเมืองบ้านนอกไร้หิมะแบบโอกินาว่าแล้ว ..นี่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นจนแทบรอไม่ไหวเลย
ตั้งแต่อนุบาลจนถึงชั้นประถม. คุนิกับครอบครัวทั้งห้าคน เคยอาศัยอยู่ที่โตเกียว แถวๆอิเคบุคุโระ ประมาณ 2 ปีเนื่องจากคุณพ่อต้องมาทำงานที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติในโตเกียว นอกจากสองปีนั้นแล้ว ก็เรียกได้ว่าเติบโตที่โอกินาว่ามาโดยตลอด
ตอนที่เรียนอนุบาลในโตเกียว เวลาที่เพื่อนๆถามว่า " นายมาจากไหน" แล้วคุนิตอบว่า "จ.โอกินาว่า". เพื่อนๆก็มักจะหัวเราะคิกคัก บางคนก็ไม่รู้จัก ไม่เคยได้ยินชื่อโอกินาว่าเลยทีเดียว. ภาพของเพื่อนๆที่ล้อเลียนเขานั้นยังอยู่ในความทรงจำมาจนทุกวันนี้
ถ้าไปอยู่ที่ฟุคุชิม่า. ..จะโดนแบบนั้นเหมือนกันหรือเปล่านะ. คุนิก็แอบคิดอยู่หน่อยๆ
แต่เอาเถอะ. การไปในที่ๆไม่รู้จักและได้พบเจออะไรใหม่ๆ ก็น่าจะเป็นเรื่องดีแหละน่า
ช่วงฤดูใบไม้ผลิ. คุนิเริ่มเข้าไปอยู่ในอพาร์ตเม้นที่ฟุคุชิม่า. โชคดีมากที่เพื่อนข้างๆห้องเป็นคนที่เล่นบาสมาตั้งแต่ ม.ต้นและม.ปลายเหมือนๆกัน. ทั้งคู่ก็เลยคุยกันได้อย่างถูกคอ และตั้งใจที่จะเข้าชมรมบาสของมหาวิทยาลัยด้วยกันด้วย
อา.. เรื่องแค่นี้คุนิก็รุ้สึกว่าชีวิตช่างโรยด้วยกลีบกุหลาบแล้ว
ในวันปฐมนิเทศ คุนิและเพื่อนรีบตรงดิ่งไปที่ชมรมบาสเก็ตบอลเพื่อขอสมัครเข้าชมรมทันที แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อเจออาจารย์สองคนที่เป็นคนสัมภาษณ์ในวันนั้นที่ชมรมบาส
"ว่าไง เทนคัง คุนิยูกิ กำลังรออยู่เลย"
"เอ๊ะ!! "
" ดีใจที่ได้เทนคังคุงมาร่วมทีมนะ. ฉันคาดหวังในตัวเธออยู่นะ"
สรุปแล้วก็คือ อาจารย์ทั้งสองคนเป็นที่ปรึกษาชมรมบาสนั่นเอง
นี่เราโดนอาจารย์ที่ปรึกษาชมรมบาสสัมภาษณ์เข้ามาเรียนเหรอเนี่ยยย
คุนิรู้สึกดีใจสุดๆในหัว. เรานี่... อะไรมันจะโชคดีขนาดนั้น!!
คุนิยังไม่ได้เป็นตัวจริงในทันที แต่ด้วยความเอาจริงเอาจัง ความสามารถทางด้านบาสเก็ตบอลและการประสานงานในทีมอันยอดเยี่ยม ก็ส่งผลให้เขาได้เป็นตัวจริง ในการแข่งขันบาสของคณะแพทย์ศาสตร์ ทีมของมหาลัยก็ได้ที่สอง. และในการแข่งขันบาสเก็ตบอลระดับมหาวิทยาลัยเขตโทโฮคุ. ก็สามารถนำทีมให้ขึ้นเป็นอันดับ 1 ได้สามปีติดต่อกันเลยทีเดียว
คุนิใช้เวลาในมหาลัยส่วนใหญ่อยุ่กับบาสเก็ตบอล. แต่เวลาที่มีงานเลี้ยงของห้อง หรือของคณะ ก็ไม่พลาดที่จะเสนอหน้าเข้าไปร่วมด้วยอยุ่หลายๆครั้ง และในงานเลี้ยงนั้น เขาก็ได้พบกับผู้ชายคนหนึ่งที่มีทรงผมอันแปลกประหลาด. ใส่เสื้อผ้าเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นกว่าคนอื่นๆ ผู้ชายคนนั้นเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่อายุมากกว่าคุนิอยู่ 1 ปี ชอบส่งเสียงดังเป็นจุดศูนย์กลางของเพื่อนๆอยู่เสมอ
เหตุการณ์ที่ทำให้คุนิได้สนิทกันก็คือ การไปคาราโอเกะหลังจากปาร์ตี้ที่ร้านอิซากายะเสร็จ พอคุนิเริ่มร้องเพลง. อยู่ดีๆผู้ชายที่อายุมากกว่าปีนึงคนนั้นก็ถือไมค์เดินเข้ามาร้องประสานเสียงหน้าตาเฉย ตอนที่ชายคนนั้นเริ่มร้องท่อนแรปอย่างเมามันส์ เพื่อนๆก็เฮกัน ชื่นชอบกันมาก
คุนิเพิ่งมารู้ทีหลังว่าชื่อของเขาก็คือ. โกะได ฮิเดอากิ คุยกันไม่ทันไร ทั้งคู่ก็สนิทกันจนเรียกกันว่า ฮิเดะ และ คุนิ ในเวลาอันสั้น
" ชั้นทำวงกันอยู่ ชื่อวง greeen ว่างๆก็ลองฟังดูนะ "
อยุ่ดีๆผู้ชายคนนั้นก็เข้ามาพุดแล้วเอาซีดีให้
พอได้ลองฟังดูปุ๊บ. ก็รู้สึกได้ว่า
นี่มัน ....เฮ้ย คุณภาพเพลงอย่างกับมืออาชีพเลยยยยย
ยิ่งฟังก็ยิ่งชอบ และก็ตามไปดูไลฟ์อยู่บ่อยๆ กลายเป็นแฟนเพลงไปอีกคน
ขนาดที่ว่า แม้คาราโอเกะจะไม่มีเพลง greeen. คุนิกับเพื่อนๆก็ยังคงร้องเพลง greeen กันสดๆในคาราโอเกะได้อยู่ดี
"คุนิ ..เสียงนายนี่ต่ำดีนะ. ชั้นอยากได้เสียงแบบนี้ในวงบ้างจัง"
ฮิเดะมักจะพูดชมทุกครั้งที่ไปร้องเกะด้วยกัน. คุนิคิดว่ามันเป็นการพูดเล่นกันขำๆ
แต่แล้วอยู่มาวันนึง. อยุ่ดีๆฮิเดะก็มาบอกว่า
" นายสนใจมาร่วมวงด้วยกันมั้ย"
ภาพของฮิเดะที่ร้องเพลงอยู่บนเวทีในไลฟ์นั้นดูสนุกสนานเปล่งประกายมากซะคน คุนิอดคิดไม่ได้ว่า .. ถ้าได้ทำแบบนั้นบ้างมันก็คงน่าสนุกดี
บาสเก็ตบอลมันก็สนุกดีอยุ่หรอก. แต่เพลงที่พวกฮิเดะทำกันอยู่มันก็ดูน่าสนุกเหมือนกันนะ
เสียงในหัวใจที่ดังชัดเจนมากขึ้นทุกวัน ทำให้คุนิตอบรับคำชวนของฮิเดะ และกลายมาเป็นสมาชิกคนนึงของวง greeen
ได้เล่นบาส. ได้มาเจอฮิเดะ. ได้มาร่วมวง greeen.
อา.. ทำไมตัวเราถึงได้โชคดีแบบนี้นะ
คุนิคิดแบบนี้อยู่เสมอ
จากนี้ต่อไป นอกจากบาสเก็ตบอลแล้ว.
ก็คงไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าวง greeen อีกแล้วละ
คุนิเข้าร่วมวงด้วยความรู้สึกนั้นเต็มเปี่ยมอยู่ในอก
4.10 คุนิ.. นักบาสเกตบอลมือหนึ่ง
Reviewed by ITadmin
on
09:03:00
Rating:
![4.10 คุนิ.. นักบาสเกตบอลมือหนึ่ง](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj1qu_zN23nq3vee6QEVhDXYPwq_xQqN3OIeLv-D0fcCD2stvAJyvZt0jY0VwIpjoF4pJZI-LbZqi2NslfwkCu52aGDnyOYjLmcKNjopf59N4n9R4ZzxTmvZT6PEcZxhp8lzAAxIF_gMrw/s72-c/untitled-design-93.jpg)
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆนะครับ
ReplyDelete1xbet » Free Bet, Bonus, Deposit & Review | Dec 2021
ReplyDeleteWhat 1xbet korean is 1xbet? — 1xbet is a www.jtmhub.com casino that offers https://septcasino.com/review/merit-casino/ a selection of 토토 online https://deccasino.com/review/merit-casino/ casino games, such as slots, roulette, and poker. There are