GReeeeN คือ??

บทเพลงของหมอพันอารมณ์ดี ดนตรี Feel Good!

บทที่ 4.8 บนเส้นทางที่พ่อแม่ขีดไว้ให้

บทที่ 4.8

บนเส้นทางที่พ่อแม่ขีดไว้ให้




นิตตะ โซอิจิ เกิดที่ จ. ซากะ ทั้งคุณปู่ คุณพ่อและคุณแม่ต่างเป็นทันตแพทย์  เปิดคลินิคทำฟันอยู่ที่ จ.ซากะ   คุณพ่อเป็นลูกบุญธรรมของคุณปู่  ได้รักกับคุณแม่ที่เป็นลูกแท้ๆของคุณปู่  ดังนั้น โซอิจิจึงเกิดมาในครอบครัวที่มีแต่ทันตแพทย์เต็มไปหมด  ด้วยความที่เป็นลูกชายคนโต  ตอนที่โซอิจิเกิดมา ก็เหมือนชะตาชีวิตได้กำหนดไว้แล้วว่าจะต้องเป็นทันตแพทย์และรับสืบทอดคลินิคทำฟันนี้ไปด้วย

"โซจังเป็นความหวังของครอบครัวเลยนะ โตไปแล้วต้องเป็นทันตแพทย์ที่ดีให้ได้นะ"

ตั้งแต่จำความได้ ก็ได้ยินคำพูดแบบนั้นไม่รู้กี่สิบครั้ง  ทำให้โซอิจิมีความคิดฝังอยู่ในหัวว่า ยังไงก็ต้องไปเรียนทันตแพทย์ เหมือนกับเดินอยู่บนรางที่ผู้ใหญ่วางเอาไว้ให้ตลอด

จะคิดอะไรต่างออกไปไม่ได้เลย

น้องชายและน้องสาวของโซ ประกาศว่าจะไม่เป็นหมอฟันแน่นอน แล้วทั้งคู่ก็เลือกเรียนสายศิลปศาสตร์ในชั้นมัธยม 

อา..นั่นสินะ  คงมีแต่ฉันคนเดียวที่ต้องสืบทอดเจตนารมณ์ของครอบครัวต่อไป
 ในฐานะพี่ชายคนโต โซอิจิไม่สามารถยืนกรานปฏิเสธครอบครัวเหมือนอย่างน้องๆได้


ที่บ้านส่งเสริมให้โซอิจิเรียนอย่างหนัก ตั้งแต่เรียนชั้นประถมต้น ก็ต้องเริ่มทำแบบฝึกฟัดเพื่อเตรียมสอบเข้าโรงเรียนมัธยมที่มีชื่อเสียงด้านเรียนต่อมหาวิทยาลัย  ได้เจอหน้ากันทีนึงก็มีแต่คำพูดประมาณว่า " ไปเรียนได้แล้ว"  หรือไม่ก็ "ทำแบบฝึกหัดเสร็จหรือยัง" 
นอกจากเรี่องเรียน   ก็แทบไม่ได้พูดคุยเรื่องอื่นๆกับคุณพ่อคุณแม่เลย

เมื่อเริ่มเป็นวัยรุ่น โซอิจิก็เริ่มรู้สึกต่อต้านความคิดที่ถูกยัดเยียดโดยผู้ปกครอง  เริ่มเกลียดการเรียนเข้าไปทุกที หลังจากทำแบบฝึกหัดถูกทุกข้อ บางทีก็โดดเรียนกวดวิชาอยู่บ่อยๆ   ในขณะที่น้องชายและน้องสาวกำลังสนุกกับการเรียนสายศิลป์ในมัธยม   โซอิจิกลับรู้สึกเกลียดการเรียนจนเห็นผลที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน

ทั้งๆที่ก็เข้าใจอยู่ว่าต้องทำตามความคาดหวังของครอบครัว แต่บางคร้ั้งก็อดถามตัวเองไม่ได้ ว่า "จริงๆแล้วเราอยากทำอะไรกันแน่" แต่ก็ไม่สามารถหาคำตอบให้ตัวเองได้เลย

โซอิจิสามารถสอบเข้าโรงเรียนมัธยมชื่อดังได้สบายๆ  และก็ทำให้ครอบครัวตั้งความหวังกับเขาไว้อย่างแน่วแน่มากขึ้นไปอีก

ตอนที่เรียนในชั้นม.ต้น เขารู้สึกเหมือนมีก้อนหินก้อนใหญ่วางอยู่บนหัวตลอดเวลา 
มันหนักๆ หน่วงๆ
ไม่มีความสุขกับการเรียนเสียเลย

ในขณะที่โซอิจิรู้สึกไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรเลย  พวกผู้ใหญ่ต่างก็เอาแต่พูดว่า

" ต้องทำตามความฝันให้ได้นะ "
" เป็นทันตแพทย์ให้ได้เลยนะ "
" ต้องมีความหวังไว้นะ อนาคตที่ดีๆรออยู่นะ "

ยิ่งฟังคำพูดพวกนั้นก็ยิ่งรู้สึกสะอิดสะเอียน
ความฝันเหรอ
ความหวังเหรอ
เรื่องพวกนั้นสำหรับฉันมันคืออะไรกันนะ

ก่อนขึ้นชั้นม.ปลาย โชอิจิก็ตัดสินใจว่า จะต้องหาสิ่งที่ตัวเองอยากทำจริงๆให้เจอให้ได้


คนที่สามารถที่จะพูดถึงความฝันของตัวเองออกมาได้อย่างเต็มปากเต็มคำ  ในโลกนี้จะมีซักกี่คนกันนะ
อ่า ก็คงไม่เยอะเท่าไหร่หรอก
จะหาความฝันนั้นให้เจอ มันต้องใช้เวลาเท่าไหร่กันนะ
แต่ก็ช่างมันเถอะ จะใช้เวลานานแค่ไหนก็ตาม
เราก็มีเวลาทั้งชีวิตจะตามหามันนั่นแหละ 
ในตอนที่มีชีวิตอยู่นี้ ก็ คงจะได้พบได้เจอคนต่างๆ เรื่องราวต่างๆ
อาจจะได้เจอสิ่งที่เรียกว่า "ความฝัน" ที่เราอยากจะทำจริงๆบ้างก็ได้ 

โซอิจิพูดคุยกับตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า จนในที่สุดก็คิดได้ว่า
เป็นลูกชายคนโตของตระกูลทันตแพทย์ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องเป็นทันตแพทย์ตามๆเค้านี่นา
ช่างแม่งเถอะ

หลังจากนั้น ในช่วง ม.3 โซอิจิก็ให้เวลากับการเล่นกีฬาหลายๆอย่าง
ทั้งเคยตั้งความฝันว่าจะเอาเหรียญทองโอลิมปิคเลยด้วย 

แต่ .. คนที่ได้เหรียญทองโอลิมปิคเนี่ย ในญี่ปุ่นเองก็มีอยู่ไม่กี่คนเองนะ
ไม่ใช่ความฝันที่จะทำได้ง่ายๆเลยแฮะ
พวกนั้นต่างก็เป็นพิเศษจริงๆ ฝึกกันหนักจริงๆ 
อา... ตัวชั้นเนี่ย น่าจะไม่ไหว...

ในระหว่างที่ตามหาความฝันของตัวเอง   ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ก็ยังคงกดดันเรื่องเรียนอยู่ทุกๆวัน
"โซอิจิ ตั้งใจเรียนนะ  จะได้เป็นทันตแพทย์ได้" 
ทุกครั้งที่คุณพ่อคุณแม่พูดมาแบบนี้ โซอิจิก็จะนิ่งเงียบ
อยากจะเถียงออกไปว่าไม่อยากเป็น..
แต่ถ้าไม่เป็นทันตแพทย์ ..ตัวเองก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไร 
พอคิดได้แบบนั้นก็รู้สึกหายใจติดขัดด้วยความอึดอัด

ฉันนี่ .. ต้องเดินตามทางที่พ่อแม่วางเอาไว้อย่างเดียวหรือไงนะ
ถ้าหากว่ายังหาเรื่องที่ตัวเองอยากทำไม่เจอละก็ ต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ


มีกีฬานึงที่โซอิจิชอบมาก ก็คือเบสบอล  เขาเป็นแฟนพันธ์แท้ของทีมไจแอ้นเลยทีเดียว
ในช่วงที่กำลังตามหาตัวเอง  ก็เลยไปเข้าชมรมเบสบอล ตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะเล่นเบสบอลไปจนถึงม.ปลาย  ตั้งเป้าว่าจะต้องไปโคชิเอ็นให้ได้เลยด้วย 

อ่า .. แต่บางที โคชิเอ็นอาจจะยากไปหน่อย เอาระดับจังหวัดก่อนแล้วกัน

ชมรมเบสบอลนั้นโหดหินพอสมควร  คนที่เพิ่งเข้าชมรมใหม่ ต้องเริ่มจากงานพื้นๆอย่างเช่นขัดลูกบอล , เช็ดถุงมือ , ซักทำความสะอาด  พอเวลาผ่านไปทุกวันๆ  ก็เริ่มรู้สึกว่ามันไม่ใช่สิ่งที่อยากทำจริงๆซะแล้ว

สำหรับโซอิจิในตอนนั้น ถึงจะชอบเบสบอลมากก็จริง  แต่ก็ไม่สามารถจะจินตนาการถึงตัวเองที่จะเล่นเบสบอลไปทั้งชีวิตได้เลย  
การเล่นเบสบอลอย่างจริงจังนั้นเป็นเหมือนความฝันที่มาเพียงชั่วครู่เดียวแล้วก็หายไป

แต่ว่า . .นอกจากเบสบอลแล้วก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะไปทำอะไรดี  ในตอนที่อยู่ในช่วงลังเลนั้น เพื่อนก็ได้มาชวนไปเข้าชมรมบาสเก็ตบอล  เขาลาออกจากชมรมเบสบอลไปเข้าชมรมบาสตามคำชวนของเพื่อน 

พอเริ่มเล่นบาสเก็ตบอลก็รู้สึกว่า
เออ มันก็เป็นกีฬาที่สนุกดีเหมือนกันแฮะ
ตั้งเป้าว่าจะเล่นบาสไปถึง NBA เลยดีมั้ยนะ .. 

แต่ว่าทีมบาสของโรงเรียนในตอนนั้นเป็นทีมที่ค่อนข้างอ่อนมาก  มีแต่รุ่นพี่คนเดียวที่มีฝีมือดี  พอรุ่นพี่คนนั้นจบการศึกษาไป ในการแข่งระดับเขต  ทีมของโซอิจิก็ไม่เคยชนะซักครั้งเลย

"พวกนายทำให้ฉันอับอายมาก"   พอได้ยินรุ่นพี่คนนั้นพูดต่อว่ามา  โซอิจิก็รู้สึกว่า 
ชั้นนี่มันใช้ไม่ได้จริงๆ


ในตอนช่วงนั้นเองที่คุณพ่อคุณแม่จะให้โซอิจิไปเรียนโรงเรียน ม.ปลายที่เน้นสอบเข้าแพทย์โดยเฉพาะ เพื่อจะได้เป็นทันตแพทย์ตามที่วางแผนเอาไว้  โซอิจิที่กำลังย่างเข้าวัยรุ่น ไม่เคยมีใจที่จะไปเรียนทางด้านนั้นเลย 
เขาพยายามคิดหาวิธีปฏิเสธทางเดินนั้นโดยที่ไม่ต้องทำให้ใครเจ็บปวด 

ในหัวของโซอิจิมีคำๆนึงแว่บขึ้นมา

ต้องก่อกบฎ

ไม่อยากเจอหน้าพ่อแม่และอาจารย์อีกแล้ว 
ไม่อยากให้พวกผู้ใหญ่มาพูดซ้ำๆว่า ให้เรียน ให้เรียน ให้ตั้งใจเรียน
ดังนั้น...หลังจากจบม.  3 แล้ว ต้องออกจากบ้านไปอยู่คนเดียวให้ได้
ถ้าหากยังอยู่ในบ้านหลังนี้ละก็ ซักวันทุกสิ่งที่เก็บกดมานั้นคงจะระเบิดออกมาแน่ๆ
ยิ่งคิดถึงเหตุการณ์แบบนั้นก็ยิ่งกลัว 
ไม่ว่าจะยังไง ก็อยากจะหนีห่างจากครอบครัวทันตแพทต์ที่ตรงนี้ไปไกลๆ

โซอิจิหาข้อมูลโรงเรียนม.ปลายด้วยตัวเอง  และสุดท้ายก็ได้เจอโรงเรียนประจำชายล้วนแห่งหนึ่งที่ จ. นางาซากิ ซึ่งเป็นโรงเรียนดังที่เน้นเตรียมสอบแพทย์เหมือนกัน .. 
ถ้าไปอยู่ที่นี่ละก็ .. จะได้ออกจากบ้านไปอยู่คนเดียวสมใจ 
พอคิดได้แบบนั้นก็ตัดสินใจทันที
เอาละ ไปเรียนต่อที่นางาซากิดีกว่า

NOTE : นางาซากิเป็นจ.ที่อยู่ติดกับ จ. ซากะ บ้านเกิดของโซนะคะ ไม่ได้ย้ายไปไกลซักเท่าไหร่เล้ย


โซสอบติดที่โรงเรียนนั้นอย่างไม่ยากเย็นอะไร 
ที่บ้านก็ไม่ได้คัดค้านเพราะที่นั่นก็เป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงด้านการสอบเข้าเช่นกัน ทำให้โซรู้สึกสบายใจขึ้น

ระหว่างทานข้าวเย็น
ภาพของคุณพ่อ คุณแม่ น้องสาว และน้องชาย กำลังนั่งล้อมวงทานข้าวเย็นด้วยกัน ..
คงจะไมไ่ด้เห็นภาพนี้ไปอีกนานละนะ ..
ฉันจะเหงามั้ยถ้าต้องจากครอบครัวนี้ไปอยู่คนเดียว?
อืม..ก็คงไม่หรอกมั้ง

ลึกๆในใจแล้ว โซอิจิยอมรับว่า การตัดสินใจไปอยู่คนเดียวได้นั้นทำให้สบายใจกว่าที่คิด

....
...
.

ชีวิตในหอพักชายของโรงเรียนนั้นสนุกสนานดี  อาหารอร่อย  พวกผ้าเช็ดตัว หรือผ้าปูที่นอนก็มีแม่บ้านซักทำความสะอาดให้ แค่เอาผ้าที่จะซักใส่ไว้ในตะกร้าหน้าห้องอาบน้ำรวม  เช้าวันรุ่งขึ้นก็จะได้ผ้าผืนใหม่สะอาดๆพับมาให้เรียบร้อย 

ในห้องนึงจะอยู่กัน 4 คน รุ่นพี่และรุ่นน้องอยู่รวมในห้องเดียวกัน ในเดือนมีนาคมของทุกๆปี จะเป็นช่วงที่มีน้องใหม่ย้ายเข้ามาในหอ  ส่วนใหญ่นั้นเป็นเด็กจากจังหวัดอื่นๆ ทั้งหมดต่างคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกันและสนิทกันในเวลาอันรวดเร็ว  

พอได้พูดคุยกับเพื่อนๆจากหลากหลายจังหวัดทั่วประเทศ  โซก็รู้สึกว่า ยังมีอะไรที่ตัวเองไม่รู้อีกเยอะมากๆ  เรานี่ช่างเป็นคนโลกแคบจัง อยากจะเปลี่ยน ตัวเองคนเดิมที่ไม่เคยสนใจโลกภายนอก เป็นคนเปิดกว้างเรียนรู้อะไรต่างๆให้มากขึ้น


เวลาคอร์ฟิวปิดหอก็คือ 1 ทุ่มตรงของทุกๆวัน

โรงเรียนและหอพักค่อนข้างไกลจากตัวเมืองนางาซากิมาก แต่ว่าใกล้ๆโรงเรียนก็ยังมี ชอปปิ้งอาร์เขตที่สามารถไปเดินเล่น เที่ยวร้านคาราโอเกะ  เล่นเกมส์เซ็นเตอร์ ดูหนังได้ บางครั้งการได้แอบพวกผู้ใหญ่ไปเดินเล่นในสถานที่พวกนั้นก็ทำให้สนุกตื่นเต้นดีเหมือนกัน  

ที่หอพัก มีอาจารย์ดูแลประจำหอพักที่อายุมากกว่าคุณพ่อ  เป็นผู้ใหญ่คนเดียวที่โซให้ความนับถือมากกว่าพ่อแม่ของตัวเองเสียอีก

ถ้าเกิดวันไหนที่รู้สึกไม่อยากไปโรงเรียนขึ้นมา พอบอกเหตุผลกับอาจารย์แล้ว  อาจารย์ก็จะบอกว่า
" โอเค เข้าใจละ งั้นไม่ได้ต้องไปเรียนก็ได้นะ วันนี้นอนพักไปก่อนนะ"

บางครั้งที่กลับหอเกินเวลา 1 ทุ่ม อาจารย์ก็แค่ถามเหตุผลแต่ไม่เคยดุด่าว่าอะไร  นับว่าเป็นอาจารย์ที่ไม่ค่อยตามกฎตามระเบียบของโรงเรียนเท่าไหร่ แม้อาจจะจะเคยดุด่านักเรียนบ้าง  แต่พอนักเรียนมีปัญหา  ก็พร้อมที่จะก้มหัวขอโทษแทนนักเรียนอย่างไม่อาย ทำให้รู้สึกว่า อาจารย์คอยอยู่ข้างๆเสมอไม่ว่าจะเป็นเวลาไหนก็ตาม

ส่วนผู้ใหญ่คนอื่นๆนอกเหนือจากอาจารย์นั้น รู้สึกเกลียดไปหมด


นิตตะ โซอิจิในชั้นม.ปลายทำตัวเป็นเด็กเกเร  โดดเรียนอยู่บ่อยๆ  คะแนนสอบก็ได้ต่ำกว่ามาตรฐานจนจะไม่ได้เลื่อนไปเรียชั้น ม. 5

" ขอต่อยนายซักที แล้วจะให้เลื่อนชั้นละกัน"

อาจารย์ที่ปรึกษาพูดขึ้นแล้วต่อยโซจนล้มลง มองเห็นท้องฟ้าสีคราม  ปากมีเลือดซึมออกมา  อาจารย์คนอื่นที่เห็นเหตุการณ์ก็ทำเป็นมองไม่เห็น

ถึงจะใส่ชุดนักเรียนอยู่ แต่ก็ไม่มีความรู้สึกอยากเข้าไปในห้องเรียนซักนิด กระเป๋านักเรียนฟีบแบนได้รับมาจากรุ่นพี่ที่เป็นแยงกี้ไม่เคยมีหนังสือเรียนอยู่ซักเล่มเดียว  ถ้าเข้าเรียนก็ยืมหนังสือคนอื่นอยู่เป็นประจำ ถึงจะประพฤติตัวแย่ยังไง แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรร้ายแรงจนต้องไปถึงตำรวจสักครั้ง เพราะกลัวว่าเรื่องจะไปถึงผู้ปกครองนั่นเอง

อยากจะหนึไปจากโลกใบนี้ 
มีแต่ความคิดลบๆแบบนั้นเต็มไปหมด

เมื่อผลสอบถูกส่งไปที่บ้านที่ จ. ซากะ   คุณพ่อและคุณแม่โกรธมาก โทรมาที่หอพักทันที

"นี่แกทำอะไรของแกอยู่!! ถ้าไม่คิดจะเรียนอย่างจริงจังละก็พอกันที"
" ครับ เข้าใจแล้วครับ"
โซตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หัวใจเหมือนถูกปิดสนิท คืนนั้นก็แอบออกจากหอไปเดินเล่นในเมืองกับเพื่อนๆจนโดนอาจารย์คนอื่นๆโกรธ  มีเพียงอาจารย์ประจำหอพักคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้ว่าอะไรเขาเลย

โซไม่เคยคิดถึงบ้าน หรือเกิดอาการโฮมซิกเลยซักครั้งเดียว


พอเข้าชั้น ม. 6 ก็เริ่มรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ใกล้ถึงเวลาสอบเข้ามหาวิทยาลัยเข้าไปทุกทีแต่เขาก็ยังไม่มีความรู้สึกกระตือรือร้นในการเรียนเหมือนเดิม  แน่นอน ผลการเรียนก็ออกมาไม่ดีเท่าไหร่  ในห้องเรียนเดียวกัน ไม่มีใครจะไปเรียนต่อในคณะทันตแพทย์เลย  อาจารย์เองก็ไม่ได้สนใจให้คำแนะแนวโซอิจิอย่างจริงจัง ไม่คิดว่าเขาจะเรียนต่อมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ  ยิ่งวันสอบเอนทรานซ์ใกล้เข้ามา เขาเองก็คิดอะไรง่ายๆว่า   เอาเถอะ ถ้าเอนท์ไม่ติดเดี๋ยวไปเรียน กวดวิชาเอาอีกรอบก็ยังได้  ยังมีเวลาอยู่น่า

คณะทันตแพทยฺ์ในมหาวิทยาลัยที่คุณพ่อจบมานั้นค่อนข้างมีชื่อเสียงและเข้ายาก  ดังนั้นโซจึงเลือกสอบเข้าคณะทันตแพทย์ในมหาวิทยาลัยที่คุณแม่เรียนจบมาแทน
การสอบเอนทรานซ์ครั้งแรกเรียกได้ว่าถอดใจไปแล้ว   ไม่ได้อ่านหนังสืออะไรเลย  ไม่ได้เตรียมตัวอะไรทั้งนั้นจนวันสุดท้าย 

ผลก้ออกมาอย่างที่คิดไว้ก็คือ  สอบไม่ติด

" ขอเวลาอีก 1 ปี ผมจะตั้งใจเรียนที่โรงเรียนกวดวิชา แล้วปีหน้าผมจะสอบเข้าคณะทันตแพทย์ให้ได้ครับ"
โซก้มหัวขอโทษคุณพ่อคุณแม่และขอโอกาสอีกครั้งหลังจากกลับจากนางาซากิมาอยู่ที่บ้าน
นี่เป็นแผนที่เขาคิดเอาไว้อยู่แล้ว

แล้วก็เป็นไปตามที่คิดไว้ คุณพ่อและคุณแม่ให้โอกาสเขาอีก 1 ปี  โซได้ไปเรียนโรงเรียนกวดวิชาในจ.ฟุกุโอกะแล้วก็ได้อยู่คนเดียวอีกครั้ง เป็นโรงเรียนกวดวิชาสำหรับสอบเข้าคณะแพทย์โดยเฉพาะ เด็กที่มาเรียนส่วนใหญ่ก็เป็นลูกสาวลูกชายของคุณหมอหรือไม่ก็เภสัชกร  ทำให้รู้สึกได้ว่าทุกคนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่คล้ายๆกัน มีจุดยืนและความกดดันจากครอบครัวเหมือนๆกัน 

โซอิจิเข้าไปเรียนได้ไม่นานก็ได้แก๊งเพื่อนสนิทมา 6 คน   ไม่ว่าจะทำอะไรก็ทำด้วยกันตลอด  มีทั้งเพื่อนจาก ฟุกุโอกะ  โอซาก้า  โตเกียว ซากะ ทุกคนมาพักอยู่ที่หอพักเดียวกันของโรงเรียน   โซได้ฟังเพื่อนๆเล่าเรื่องราวต่างๆจากต่างประเทศอยู่บ่อยๆ เป็นอะไรที่ใหม่มาก ทุกครั้งที่ฟังก็รู้สึกตื่นเต้น  อยากไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศบ้างซักครั้ง

โซอิจิไม่ได้มีแฟนเหมือนวัยรุ่นทั่วๆไป เขายังสนุกกับการอยู่คนเดียวที่ฟุกุโอกะ รู้สึกว่านี่อาจจะเป็นที่ที่เขาอยู่ได้อย่างสบายใจที่สุดก็ได้

ในช่วง 2 สัปดาห์แรก โชอิจิก็ตั้งใจเรียนอย่างดี  แต่ด้วยทำเลของโรงเรียนนั้นอยู่ย่านใจกลางเมือง มีร้านอาหาร เกมเซ็นเตอร์ แหล่งจูงใจมากมาย คุณพ่อคุณแม่ให้เงินมาใช้เป็นรายเดือนซึ่งมากพอที่จะอยู่ได้โดยไม่ต้องทำงานพิเศษใดๆ ก็เลยมีเวลาว่างเหลือๆ  หลังจากเรียนจบในแต่ละวัน ก็ได้ไปเที่ยวเล่นในเกมส์เซ็นเตอร์บ้าง  ไปกินทงคัตสึรางเม็งร้านดังๆบ้าง พอตอนดึกๆก็ไปเข้าแก๊งเล่นเสก็ตบอร์ดจนเริ่มเก่ง  บางครั้งก็เล่นกันจนถึงเช้าเลยทีเดียว  พอเริ่มหิวตอนเช้าก็ไปแวะซื้อข้าวปั้นกับขนมปังที่น้านสะดวกซื้อมานั่งกิน แล้วก็เล่นสเก็ตบอร์ดต่อ

ในฤดุใบไม้ผลิ อากาศค่อนข้างหนาวก็จริง แต่พอได้เล่นสเกตบอร์ดก็รู้สึกอุ่นขึ้นมาทันที พอเริ่มเหนื่อยก็จะนั่งพักในสวน แล้วฟังเพลง "Sora no mukou" ของ SMAP พร้อมกับเฝ้ามองผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา
อา.. เนื้อเพลงนั้น ช่างตรงกับชีวิตวัยรุ่นของฉันจริงๆ

NOTE : "Sora no mukou" ของ SMAP คือเพลงนี้ค่ะ  เพราะดีนะ



วันหนึ่ง โซอิจินั่งปรับทุกข์กับเพื่อนสนิทร่วมชั้นเรียนกวดวิชา

" ที่จริงแล้ว ทั้งพ่อกับแม่ของชั้นเป็นทันตแพทย์ และชั้นเองก็เป็นลูกชายคนโต เค้าก็เลยคาดหวังเอาไว้สูงว่าต้องไปเป็นหมอด้วยจะได้รับช่วงคลินิคที่บ้านต่อ  จะคิดไปทำอย่างอื่นไม่ได้เลย  .. ..ไม่สิ .. ถ้าไปทำอย่างอื่นละก็ คงใช้ชีวิตต่อไปไม่ได้เลยละ 

แต่ก็เพราะฉันเองก็ไม่ได้มีทั้งความฝันอะไรเป็นพิเศษด้วยละมั้ง .. ก็ทำได้แค่เดินตามทางที่พวกผู้ใหญ่เขาปูเอาไว้น่ะนะ  "


พอเพื่อนๆได้ฟังที่โซอิจิพูดออกมาก็เข้าใจความรู้สึกเป็นอย่างดี เพราะทุกๆคนที่มาเรียนที่นี่ ต่างก็เจอกับความคาดหวังและความกดดันจากครอบครัวไม่ต่างกัน


"ชั้นก็เหมือนกัน ไอ้การสอบเข้าคณะแพทย์ให้ได้  เรียนให้จบแล้วมาเป็นหมอที่ดีให้ได้อะไรแบบนั้น รู้สึกเหมือนกำลังมีชีวิตแทนคนๆอื่น ไม่ใช่ชีวิตของตัวเองเลย  จริงๆนะ"

"ชั้นก็ด้วย  ไอ้การเรียนเพื่อเตรียมสอบเข้าคณะแพทย์ที่ทำอยู่ทุกวันเนี่ย รู้มั้ย ชั้นรู้สึกอยากจะหนีไปให้ไกลๆทุกครั้งเลย ฮะๆ  คุณหมอในชุดขาวงั้นเหรอ  ไม่เห็นอยากจะเป็นซักนิด  ชั้นนะ อยากจะไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศที่ไหนซักที่มากกว่า โลกนี้ยังมีอะไรให้เรียนรู้มากกว่าในหนังสือพวกนี้ตั้งเยอะ"


โซอิจิรู้สึกดีใจที่มีเพื่อนๆที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน และรู้สึกเหมือนๆกัน
ถ้าอยู่ตรงนี้ละก็ รู้สึกได้ว่าไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว 

ในตอนนั้นเขารู้สึกว่า คลินิคทำฟันของคุณพ่อและคุณปู่ใน จ. ซากะนั้นห่างไกลออกไปเหลือเกิน
โซอิจินั่งคุยกับเพื่อนๆยันเช้า  เล่นสเก็ตบอร์ดอีก สองสามรอบ แล้วก็ไปอาบน้ำ เข้าเรียนที่โรงเรียนกวดวิชา

การใช้ชีวิตในแต่ละวันช่วงนั้นก็ไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่  แต่มันก็ทำให้รู้สึกสบายใจดี


ที่โรงเรียนกวดวิชา  โซอิจิได้รู้จักกับผุ้ชายวัย 30 คนหนึ่งชื่อ ฟุเสะซัง  ถึงจะอยู่ในวัยทำงานแล้ว แต่ฟุเสะซังกลับมาเรียนกวดวิชาเพื่อเตรียมเข้าคณะเภสัชด้วย  เขาเป็นผู้ชายที่แต่งตัวดุเท่ห์และมีเซ๊นส์ด้านแฟชั่นมากๆ  ใช้ของแบรนด์เนมตั้งแต่หัวจรดเท้า   ฟุเสะซังขับรถมอเตอร์ไซฮอนด้า 50 cc รุ่น renger ที่ตกแต่งแบบวัยรุ่นสุดๆ ดูจากค่าแต่งรถแล้ว ก็ท่าทางจะเป็นผู้ชายที่รวยพอสมควร

"โคตรเท่เลย"
โซอิจิเผลอพูดออกมาตอนที่เห็นรถมอเตอร์ไซด์ของฟุเสะซัง
เจ้าของรถมอเตอร์ไซด์ที่ดูท่าทางเหมือนแยงกี้หันมายิ้มให้

"อยากลองขี่ดูมั้ยล่ะ"
" เอ้อ ไม่เป็นไรครับ ผมไม่มีใบขับขี่  ผมเพิ่งจะจบม.ปลาย ยังไม่มีเวลาไปทำใบขับขี่เลย"

ที่คิวชูไม่ค่อยมีหิมะตก ก็เลยมีคนที่ชอบขี่มอเตอร์ไซด์ค่อนข้างมาก สมัยที่โซอิจิอยู่ม.ปลาย  ตอนอยู่ที่หอ ก็เคยนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์ของรุ่นพี่ไปเที่ยวบ้างอยู่เหมือนกันและก็รู้สึกชื่นชอบมอเตอร์ไซด์อยู่ไม่น้อย

ตอนที่เห็นมอเตอร์ไซด์ของฟุเสะซังก็รู้สึกมีแรงบันดาลใจขึ้นมาทันที 
อยากลองขี่บ้างจัง

ก่อนอื่นก็ต้องไปทำใบขับขี่ ซึ่งก็ใช้เงินพอสมควร ลำฟังแค่เงินที่พ่อแม่ให้มาใช้แต่ละเดือนก็ไม่พอแน่นอน
โซอิจิแอบโดดเรียนไปทำงานพิเศษ  พอเก็บเงินได้แล้วก็ไปเรียนขับรถมอเตอร์ไซด์และทำใบขับขี่โดยไม่บอกใครเลย (ที่ญี่ปุ่นต้องผ่านการเรียนขับรถในโรงเรียนที่ทางการรับรองก่อนเท่านั้นถึงจะไปสอบใบขับขี่ได้)  จากนั้นก็ซื้อมอเตอร์ไซด์มือสองเก่าๆมาคันนึง

ซักวันนึงอยากจะแต่งรถเท่ห์ๆได้อย่างฟุเสะซังบ้าง
อา.. นี่นับเป็นความฝันของชั้นได้ไหมนะ


แต่ว่า .. หลังจากที่วันหยุดฤดูร้อนจบลง สิ่งที่รออยู่ก็คือการสอบซ้อมใหญ่เพื่อเตรียมสอบเอนทรานซ์ของโรงเรียน โซอิจิที่เอาแต่โดดเรียนมาตลอดตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิ  เพิ่งจะได้รู้สึกตัวว่าต้องเตรียมตัวเรียนอย่างหนักแล้ว ...ในตอนที่กำลังจะเริ่มตั้งใจเรียนนั้น ก็มีเรื่องที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น

อยู่ดีๆโซอิจิก็รู้สึกเจ็บที่หน้าอก จะหายใจเข้าหรือหายใจออกก็รู้สึกเจ็บตลอดเวลา  พอเข้าไปตรวจที่โรงพยาบาลก็พบว่าเป็นโรคเกี่ยวกับเยื่อหุ้มปอด ถึงจะรักษาหาย แต่ก็ยังมีอาการเจ็บหลงเหลืออยู่  พอเข้าช่วงฤดูใบไม้ร่วง ก็ได้เข้าแอดมิดในโรงพยาบาลที่ฟุกุโอกะ  ทำให้การเรียนชะงักไปอีกครั้ง

"ถ้าไม่รักษาตอนนี้ละก็แย่แน่ๆ" คุณหมอพูดขึ้น และแนะนำให้ผ่าตัด
"เป็นการผ่าตัดที่ไม่ยาก ไม่ต้องกังวลไปนะ"

โซอิจิตกลงเข้ารับการผ่าตัด  เป็นการผ่าตัดที่จบลงใน 1 วัน สามารถออกจากโรงพยาบาลได้เลย
หลังจากผ่าตัดเสร็จ โซอิจิกลับมาเรียนได้เพียง 2 เดือนก็รู้สึกอาการกำเริบ  ต้องเข้าแอดมิดที่โรงพยาบาลอีกครั้ง 

"ครั้งนี้คงต้องผ่าตัดเปิดทรวงอก แล้วละ"
"หาาา"

เป็นอะไรที่เกินจินตนาการไปมาก
" เอ่อ  ผมเป็นนักเรียนเตรียมเอนท์  ตอนนี้เรียนอยู่ที่โรงเรียนกวดวิชาน่ะครับ  ถ้าผ่าตัดแล้วจะมีผลอะไรกับการเรียนมั้ยครับ"

คุณหมอทำหน้าตาจริงจัง หลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามตรงๆ

" ถ้าผ่าตัดแบบเปิดทรวงอกก็มีโอกาสที่จะรักษาหายมากกว่า  ในตอนนี้หมอคิดว่า การรักษาโรคให้หายเป็นเรื่องสำคัญกว่านะ"


เริ่มเข้าปลายฤดูใบไม้ร่วง โซอิจิต้องนอนที่โรงพยาบาลเพื่อเตรียมตัวเข้าผ่าตัด
ในตอนที่กำลังนอนมองเพดานของโรงพยาบาลนั้น ก็พลางคิดไปว่า

"ทำไมชั้นถึงได้เป็นคนดวงซวยอยา่งนี้น๊า"
ทั้งที่คิดว่าจะตั้งใจเรียนแล้วแท้ๆ ก็ดันมาป่วยซะอีก
ตั้งแต่ฤดูร้อนจนจะหมดฤดูใบไม้ร่วงก็เข้าๆออกๆโรงพยาบาลตลอด
อ๊าา  แล้วจะไปอ่านหนังสือสอบทันได้ยังไง
สงสัยจะต้องไปเรียนที่โรงเรียนกวดวิชาอีกปีนึงแล้วละมั้ง

เออ แต่ก็ช่างมันเถอะ
ไม่ได้จะอยากสอบอะไรซักเท่าไหร่ด้วย

สองความรู้สึกตีกันอยู่ในหัว

หลังจากการผ่าตัดผ่านไปได้ด้วยดี โซอิจิได้ออกจากโรงพยาบาลและก็คิดว่า ปีนี้จะยอมแพ้ไปก่อน แต่ในปีหน้าจะตั้งใจเรียนอย่างหนักแน่นอน

จากนั้นมาเขาก็เปลี่ยนไป เข้าเรียนอย่างสม่ำเสมอไม่เคยขาด
ครั้งนี้แหละ จะตั้งใจเรียนให้เต็มที่เลย
แต่ว่า ยิ่งตั้งใจเรียนเท่าไหร่ก็ยิ่งมีความกังวลใจมากขึ้นเท่านั้น
ผลของการสอบซ้อมที่โรงเรียนกวดวิชาออกมาไม่ค่อยดีนัก อยู่ในเกณฑ์คะแนนที่คาบเส้นตลอด

ในระหว่างที่กำลังกลุ้มใจกับคะแนนสอบอยู่นั้น ก็ได้รับการติดต่อจากคุณแม่

" ปีหน้าจะเป็นเด็กเตรียมสอบแบบนี้อีกไม่ได้แล้วนะ  ไปลองสอบเข้าที่นี่ดูสิ"
" เอ๊ะ .. ที่ไหนเหรอครับ"
ซองจดหมายที่คุณแม่ถือมาให้ มีตัวอักษรเขียนอยู่ว่า
คณะทันตแพทย์ศาสตร์  มหาวิทยาลัยโคริยาม่า

"โคริยาม่า... นี่มัน..ที่ไหนเหรอครับ"  เป็นครั้ังแรกที่ได้ยินชื่อนี้

" เมืองโคริยาม่า  จ. ฟุคุชิม่า  จะมีเปิดสอบตรงเร็วๆนี้  ไปสอบเข้าที่นี่ให้ได้ล่ะ " คุณแม่ตอบกลับมา

จ.ฟุคุชิม่า .. แค่ชื่อก็ดูไกลเหมือนไปต่างประเทศแล้ว
สำหรับโซอิจิที่ไม่ค่อยมีทางเลือกอะไรมากนัก  ก็สมัครสอบไปทันที

จองตั่วเครื่องบินจากฟุกุโอกะไปลงสนามบินฮาเนดะที่โตเกียว แล้วขึ้นรถชินกันเซ็นสายโทโฮคุไปลงที่เมืองโคริยาม่า จ. ฟุคุชิม่า ตรงไปเข้าสอบโดยในตึกคณะทันตแพทยศาสตร์ร่วมกับนักเรียนแปลกหน้าจากทั่วประเทศอีกหลายคน


ผลการสอบถุกส่งไปที่บ้านอีกไม่กี่วันต่อมา
ปรากฎว่า "สอบผ่าน"
หลังจากที่ได้รู้ข่าว ก็รู้สึกโล่งอก  เหมือนความกดดันทั้งหมดจากครอบครัวหลุดพ้นไปซะที
คุณปู่ คุณพ่อ คุณแม่ ก็รู้สึกดูโล่งใจที่จะมีคนมารับช่วงคลินิคทันตกรรมต่อซะที
น้องสาวและน้องชายต่างดีใจกันอย่างกับเป็นเรื่องของตัวเอง

" ต่อไปก็สอบเอาใบประกอบวิชาชีพ .. ทำให้ได้นะพี่" น้องๆต่างอวยพร

โซอิจิบอกข่าวกับเพื่อนร่วมโรงเรียนกวดวิชา  ทุกคนต่างแสดงความยินดีและแลกเปลี่ยนที่อยู่กัน  ระหว่างรอเปิดเทอมของมหาวิทยาลัย เขาก็ย้ายจากฟุกุโอกะกลับมาอยู่บ้านที่ จ. ซากะ 
ในตอนนั้น เมื่อไหร่ก็ตามที่หลับตาลง  ก็คิดไปถึงอนาคตที่ตัวเองอยากจะไป

จะไปในทางที่พ่อแม่เลือกไว้ให้แบบนีั้
หรือจะไปในทางที่เราจะเลือกเองดีนะ





















บทที่ 4.8 บนเส้นทางที่พ่อแม่ขีดไว้ให้ บทที่ 4.8  บนเส้นทางที่พ่อแม่ขีดไว้ให้ Reviewed by ITadmin on 10:27:00 Rating: 5

No comments: