บทที่ 4.8
บนเส้นทางที่พ่อแม่ขีดไว้ให้
นิตตะ โซอิจิ เกิดที่ จ. ซากะ ทั้งคุณปู่ คุณพ่อและคุณแม่ต่างเป็นทันตแพทย์ เปิดคลินิคทำฟันอยู่ที่ จ.ซากะ คุณพ่อเป็นลูกบุญธรรมของคุณปู่ ได้รักกับคุณแม่ที่เป็นลูกแท้ๆของคุณปู่ ดังนั้น โซอิจิจึงเกิดมาในครอบครัวที่มีแต่ทันตแพทย์เต็มไปหมด ด้วยความที่เป็นลูกชายคนโต ตอนที่โซอิจิเกิดมา ก็เหมือนชะตาชีวิตได้กำหนดไว้แล้วว่าจะต้องเป็นทันตแพทย์และรับสืบทอดคลินิคทำฟันนี้ไปด้วย
"โซจังเป็นความหวังของครอบครัวเลยนะ โตไปแล้วต้องเป็นทันตแพทย์ที่ดีให้ได้นะ"
ตั้งแต่จำความได้ ก็ได้ยินคำพูดแบบนั้นไม่รู้กี่สิบครั้ง ทำให้โซอิจิมีความคิดฝังอยู่ในหัวว่า ยังไงก็ต้องไปเรียนทันตแพทย์ เหมือนกับเดินอยู่บนรางที่ผู้ใหญ่วางเอาไว้ให้ตลอด
จะคิดอะไรต่างออกไปไม่ได้เลย
จะคิดอะไรต่างออกไปไม่ได้เลย
น้องชายและน้องสาวของโซ ประกาศว่าจะไม่เป็นหมอฟันแน่นอน แล้วทั้งคู่ก็เลือกเรียนสายศิลปศาสตร์ในชั้นมัธยม
อา..นั่นสินะ คงมีแต่ฉันคนเดียวที่ต้องสืบทอดเจตนารมณ์ของครอบครัวต่อไป
ในฐานะพี่ชายคนโต โซอิจิไม่สามารถยืนกรานปฏิเสธครอบครัวเหมือนอย่างน้องๆได้
ในฐานะพี่ชายคนโต โซอิจิไม่สามารถยืนกรานปฏิเสธครอบครัวเหมือนอย่างน้องๆได้
ที่บ้านส่งเสริมให้โซอิจิเรียนอย่างหนัก ตั้งแต่เรียนชั้นประถมต้น ก็ต้องเริ่มทำแบบฝึกฟัดเพื่อเตรียมสอบเข้าโรงเรียนมัธยมที่มีชื่อเสียงด้านเรียนต่อมหาวิทยาลัย ได้เจอหน้ากันทีนึงก็มีแต่คำพูดประมาณว่า " ไปเรียนได้แล้ว" หรือไม่ก็ "ทำแบบฝึกหัดเสร็จหรือยัง"
นอกจากเรี่องเรียน ก็แทบไม่ได้พูดคุยเรื่องอื่นๆกับคุณพ่อคุณแม่เลย
นอกจากเรี่องเรียน ก็แทบไม่ได้พูดคุยเรื่องอื่นๆกับคุณพ่อคุณแม่เลย
เมื่อเริ่มเป็นวัยรุ่น โซอิจิก็เริ่มรู้สึกต่อต้านความคิดที่ถูกยัดเยียดโดยผู้ปกครอง เริ่มเกลียดการเรียนเข้าไปทุกที หลังจากทำแบบฝึกหัดถูกทุกข้อ บางทีก็โดดเรียนกวดวิชาอยู่บ่อยๆ ในขณะที่น้องชายและน้องสาวกำลังสนุกกับการเรียนสายศิลป์ในมัธยม โซอิจิกลับรู้สึกเกลียดการเรียนจนเห็นผลที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
ทั้งๆที่ก็เข้าใจอยู่ว่าต้องทำตามความคาดหวังของครอบครัว แต่บางคร้ั้งก็อดถามตัวเองไม่ได้ ว่า "จริงๆแล้วเราอยากทำอะไรกันแน่" แต่ก็ไม่สามารถหาคำตอบให้ตัวเองได้เลย
ทั้งๆที่ก็เข้าใจอยู่ว่าต้องทำตามความคาดหวังของครอบครัว แต่บางคร้ั้งก็อดถามตัวเองไม่ได้ ว่า "จริงๆแล้วเราอยากทำอะไรกันแน่" แต่ก็ไม่สามารถหาคำตอบให้ตัวเองได้เลย
โซอิจิสามารถสอบเข้าโรงเรียนมัธยมชื่อดังได้สบายๆ และก็ทำให้ครอบครัวตั้งความหวังกับเขาไว้อย่างแน่วแน่มากขึ้นไปอีก
ตอนที่เรียนในชั้นม.ต้น เขารู้สึกเหมือนมีก้อนหินก้อนใหญ่วางอยู่บนหัวตลอดเวลา
มันหนักๆ หน่วงๆ
ไม่มีความสุขกับการเรียนเสียเลย
ในขณะที่โซอิจิรู้สึกไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรเลย พวกผู้ใหญ่ต่างก็เอาแต่พูดว่า
" ต้องทำตามความฝันให้ได้นะ "
" เป็นทันตแพทย์ให้ได้เลยนะ "
" ต้องมีความหวังไว้นะ อนาคตที่ดีๆรออยู่นะ "
ยิ่งฟังคำพูดพวกนั้นก็ยิ่งรู้สึกสะอิดสะเอียน
ความฝันเหรอ
ความหวังเหรอ
เรื่องพวกนั้นสำหรับฉันมันคืออะไรกันนะ
ก่อนขึ้นชั้นม.ปลาย โชอิจิก็ตัดสินใจว่า จะต้องหาสิ่งที่ตัวเองอยากทำจริงๆให้เจอให้ได้
คนที่สามารถที่จะพูดถึงความฝันของตัวเองออกมาได้อย่างเต็มปากเต็มคำ ในโลกนี้จะมีซักกี่คนกันนะ
อ่า ก็คงไม่เยอะเท่าไหร่หรอก
จะหาความฝันนั้นให้เจอ มันต้องใช้เวลาเท่าไหร่กันนะ
แต่ก็ช่างมันเถอะ จะใช้เวลานานแค่ไหนก็ตาม
เราก็มีเวลาทั้งชีวิตจะตามหามันนั่นแหละ
ในตอนที่มีชีวิตอยู่นี้ ก็ คงจะได้พบได้เจอคนต่างๆ เรื่องราวต่างๆ
อาจจะได้เจอสิ่งที่เรียกว่า "ความฝัน" ที่เราอยากจะทำจริงๆบ้างก็ได้
โซอิจิพูดคุยกับตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า จนในที่สุดก็คิดได้ว่า
เป็นลูกชายคนโตของตระกูลทันตแพทย์ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องเป็นทันตแพทย์ตามๆเค้านี่นา
ช่างแม่งเถอะ
หลังจากนั้น ในช่วง ม.3 โซอิจิก็ให้เวลากับการเล่นกีฬาหลายๆอย่าง
ทั้งเคยตั้งความฝันว่าจะเอาเหรียญทองโอลิมปิคเลยด้วย
แต่ .. คนที่ได้เหรียญทองโอลิมปิคเนี่ย ในญี่ปุ่นเองก็มีอยู่ไม่กี่คนเองนะ
ไม่ใช่ความฝันที่จะทำได้ง่ายๆเลยแฮะ
พวกนั้นต่างก็เป็นพิเศษจริงๆ ฝึกกันหนักจริงๆ
อา... ตัวชั้นเนี่ย น่าจะไม่ไหว...
ในระหว่างที่ตามหาความฝันของตัวเอง ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ก็ยังคงกดดันเรื่องเรียนอยู่ทุกๆวัน
"โซอิจิ ตั้งใจเรียนนะ จะได้เป็นทันตแพทย์ได้"
ทุกครั้งที่คุณพ่อคุณแม่พูดมาแบบนี้ โซอิจิก็จะนิ่งเงียบ
อยากจะเถียงออกไปว่าไม่อยากเป็น..
แต่ถ้าไม่เป็นทันตแพทย์ ..ตัวเองก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไร
แต่ถ้าไม่เป็นทันตแพทย์ ..ตัวเองก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไร
พอคิดได้แบบนั้นก็รู้สึกหายใจติดขัดด้วยความอึดอัด
ฉันนี่ .. ต้องเดินตามทางที่พ่อแม่วางเอาไว้อย่างเดียวหรือไงนะ
ถ้าหากว่ายังหาเรื่องที่ตัวเองอยากทำไม่เจอละก็ ต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ
มีกีฬานึงที่โซอิจิชอบมาก ก็คือเบสบอล เขาเป็นแฟนพันธ์แท้ของทีมไจแอ้นเลยทีเดียว
ในช่วงที่กำลังตามหาตัวเอง ก็เลยไปเข้าชมรมเบสบอล ตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะเล่นเบสบอลไปจนถึงม.ปลาย ตั้งเป้าว่าจะต้องไปโคชิเอ็นให้ได้เลยด้วย
อ่า .. แต่บางที โคชิเอ็นอาจจะยากไปหน่อย เอาระดับจังหวัดก่อนแล้วกัน
ชมรมเบสบอลนั้นโหดหินพอสมควร คนที่เพิ่งเข้าชมรมใหม่ ต้องเริ่มจากงานพื้นๆอย่างเช่นขัดลูกบอล , เช็ดถุงมือ , ซักทำความสะอาด พอเวลาผ่านไปทุกวันๆ ก็เริ่มรู้สึกว่ามันไม่ใช่สิ่งที่อยากทำจริงๆซะแล้ว
สำหรับโซอิจิในตอนนั้น ถึงจะชอบเบสบอลมากก็จริง แต่ก็ไม่สามารถจะจินตนาการถึงตัวเองที่จะเล่นเบสบอลไปทั้งชีวิตได้เลย
การเล่นเบสบอลอย่างจริงจังนั้นเป็นเหมือนความฝันที่มาเพียงชั่วครู่เดียวแล้วก็หายไป
แต่ว่า . .นอกจากเบสบอลแล้วก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะไปทำอะไรดี ในตอนที่อยู่ในช่วงลังเลนั้น เพื่อนก็ได้มาชวนไปเข้าชมรมบาสเก็ตบอล เขาลาออกจากชมรมเบสบอลไปเข้าชมรมบาสตามคำชวนของเพื่อน
พอเริ่มเล่นบาสเก็ตบอลก็รู้สึกว่า
เออ มันก็เป็นกีฬาที่สนุกดีเหมือนกันแฮะ
เออ มันก็เป็นกีฬาที่สนุกดีเหมือนกันแฮะ
ตั้งเป้าว่าจะเล่นบาสไปถึง NBA เลยดีมั้ยนะ ..
แต่ว่าทีมบาสของโรงเรียนในตอนนั้นเป็นทีมที่ค่อนข้างอ่อนมาก มีแต่รุ่นพี่คนเดียวที่มีฝีมือดี พอรุ่นพี่คนนั้นจบการศึกษาไป ในการแข่งระดับเขต ทีมของโซอิจิก็ไม่เคยชนะซักครั้งเลย
"พวกนายทำให้ฉันอับอายมาก" พอได้ยินรุ่นพี่คนนั้นพูดต่อว่ามา โซอิจิก็รู้สึกว่า
ชั้นนี่มันใช้ไม่ได้จริงๆ
ในตอนช่วงนั้นเองที่คุณพ่อคุณแม่จะให้โซอิจิไปเรียนโรงเรียน ม.ปลายที่เน้นสอบเข้าแพทย์โดยเฉพาะ เพื่อจะได้เป็นทันตแพทย์ตามที่วางแผนเอาไว้ โซอิจิที่กำลังย่างเข้าวัยรุ่น ไม่เคยมีใจที่จะไปเรียนทางด้านนั้นเลย
เขาพยายามคิดหาวิธีปฏิเสธทางเดินนั้นโดยที่ไม่ต้องทำให้ใครเจ็บปวด
ในหัวของโซอิจิมีคำๆนึงแว่บขึ้นมา
ต้องก่อกบฎ
ไม่อยากเจอหน้าพ่อแม่และอาจารย์อีกแล้ว
ไม่อยากให้พวกผู้ใหญ่มาพูดซ้ำๆว่า ให้เรียน ให้เรียน ให้ตั้งใจเรียน
ดังนั้น...หลังจากจบม. 3 แล้ว ต้องออกจากบ้านไปอยู่คนเดียวให้ได้
ถ้าหากยังอยู่ในบ้านหลังนี้ละก็ ซักวันทุกสิ่งที่เก็บกดมานั้นคงจะระเบิดออกมาแน่ๆ
ยิ่งคิดถึงเหตุการณ์แบบนั้นก็ยิ่งกลัว
ไม่ว่าจะยังไง ก็อยากจะหนีห่างจากครอบครัวทันตแพทต์ที่ตรงนี้ไปไกลๆ
โซอิจิหาข้อมูลโรงเรียนม.ปลายด้วยตัวเอง และสุดท้ายก็ได้เจอโรงเรียนประจำชายล้วนแห่งหนึ่งที่ จ. นางาซากิ ซึ่งเป็นโรงเรียนดังที่เน้นเตรียมสอบแพทย์เหมือนกัน ..
ถ้าไปอยู่ที่นี่ละก็ .. จะได้ออกจากบ้านไปอยู่คนเดียวสมใจ
พอคิดได้แบบนั้นก็ตัดสินใจทันที
เอาละ ไปเรียนต่อที่นางาซากิดีกว่า
NOTE : นางาซากิเป็นจ.ที่อยู่ติดกับ จ. ซากะ บ้านเกิดของโซนะคะ ไม่ได้ย้ายไปไกลซักเท่าไหร่เล้ย
โซสอบติดที่โรงเรียนนั้นอย่างไม่ยากเย็นอะไร
ที่บ้านก็ไม่ได้คัดค้านเพราะที่นั่นก็เป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงด้านการสอบเข้าเช่นกัน ทำให้โซรู้สึกสบายใจขึ้น
ระหว่างทานข้าวเย็น
ภาพของคุณพ่อ คุณแม่ น้องสาว และน้องชาย กำลังนั่งล้อมวงทานข้าวเย็นด้วยกัน ..
คงจะไมไ่ด้เห็นภาพนี้ไปอีกนานละนะ ..
ฉันจะเหงามั้ยถ้าต้องจากครอบครัวนี้ไปอยู่คนเดียว?
คงจะไมไ่ด้เห็นภาพนี้ไปอีกนานละนะ ..
ฉันจะเหงามั้ยถ้าต้องจากครอบครัวนี้ไปอยู่คนเดียว?
อืม..ก็คงไม่หรอกมั้ง
ลึกๆในใจแล้ว โซอิจิยอมรับว่า การตัดสินใจไปอยู่คนเดียวได้นั้นทำให้สบายใจกว่าที่คิด
....
...
.
ชีวิตในหอพักชายของโรงเรียนนั้นสนุกสนานดี อาหารอร่อย พวกผ้าเช็ดตัว หรือผ้าปูที่นอนก็มีแม่บ้านซักทำความสะอาดให้ แค่เอาผ้าที่จะซักใส่ไว้ในตะกร้าหน้าห้องอาบน้ำรวม เช้าวันรุ่งขึ้นก็จะได้ผ้าผืนใหม่สะอาดๆพับมาให้เรียบร้อย
ในห้องนึงจะอยู่กัน 4 คน รุ่นพี่และรุ่นน้องอยู่รวมในห้องเดียวกัน ในเดือนมีนาคมของทุกๆปี จะเป็นช่วงที่มีน้องใหม่ย้ายเข้ามาในหอ ส่วนใหญ่นั้นเป็นเด็กจากจังหวัดอื่นๆ ทั้งหมดต่างคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกันและสนิทกันในเวลาอันรวดเร็ว
พอได้พูดคุยกับเพื่อนๆจากหลากหลายจังหวัดทั่วประเทศ โซก็รู้สึกว่า ยังมีอะไรที่ตัวเองไม่รู้อีกเยอะมากๆ เรานี่ช่างเป็นคนโลกแคบจัง อยากจะเปลี่ยน ตัวเองคนเดิมที่ไม่เคยสนใจโลกภายนอก เป็นคนเปิดกว้างเรียนรู้อะไรต่างๆให้มากขึ้น
เวลาคอร์ฟิวปิดหอก็คือ 1 ทุ่มตรงของทุกๆวัน
โรงเรียนและหอพักค่อนข้างไกลจากตัวเมืองนางาซากิมาก แต่ว่าใกล้ๆโรงเรียนก็ยังมี ชอปปิ้งอาร์เขตที่สามารถไปเดินเล่น เที่ยวร้านคาราโอเกะ เล่นเกมส์เซ็นเตอร์ ดูหนังได้ บางครั้งการได้แอบพวกผู้ใหญ่ไปเดินเล่นในสถานที่พวกนั้นก็ทำให้สนุกตื่นเต้นดีเหมือนกัน
เวลาคอร์ฟิวปิดหอก็คือ 1 ทุ่มตรงของทุกๆวัน
โรงเรียนและหอพักค่อนข้างไกลจากตัวเมืองนางาซากิมาก แต่ว่าใกล้ๆโรงเรียนก็ยังมี ชอปปิ้งอาร์เขตที่สามารถไปเดินเล่น เที่ยวร้านคาราโอเกะ เล่นเกมส์เซ็นเตอร์ ดูหนังได้ บางครั้งการได้แอบพวกผู้ใหญ่ไปเดินเล่นในสถานที่พวกนั้นก็ทำให้สนุกตื่นเต้นดีเหมือนกัน
ที่หอพัก มีอาจารย์ดูแลประจำหอพักที่อายุมากกว่าคุณพ่อ เป็นผู้ใหญ่คนเดียวที่โซให้ความนับถือมากกว่าพ่อแม่ของตัวเองเสียอีก
ถ้าเกิดวันไหนที่รู้สึกไม่อยากไปโรงเรียนขึ้นมา พอบอกเหตุผลกับอาจารย์แล้ว อาจารย์ก็จะบอกว่า
" โอเค เข้าใจละ งั้นไม่ได้ต้องไปเรียนก็ได้นะ วันนี้นอนพักไปก่อนนะ"
บางครั้งที่กลับหอเกินเวลา 1 ทุ่ม อาจารย์ก็แค่ถามเหตุผลแต่ไม่เคยดุด่าว่าอะไร นับว่าเป็นอาจารย์ที่ไม่ค่อยตามกฎตามระเบียบของโรงเรียนเท่าไหร่ แม้อาจจะจะเคยดุด่านักเรียนบ้าง แต่พอนักเรียนมีปัญหา ก็พร้อมที่จะก้มหัวขอโทษแทนนักเรียนอย่างไม่อาย ทำให้รู้สึกว่า อาจารย์คอยอยู่ข้างๆเสมอไม่ว่าจะเป็นเวลาไหนก็ตาม
ส่วนผู้ใหญ่คนอื่นๆนอกเหนือจากอาจารย์นั้น รู้สึกเกลียดไปหมด
นิตตะ โซอิจิในชั้นม.ปลายทำตัวเป็นเด็กเกเร โดดเรียนอยู่บ่อยๆ คะแนนสอบก็ได้ต่ำกว่ามาตรฐานจนจะไม่ได้เลื่อนไปเรียชั้น ม. 5
" ขอต่อยนายซักที แล้วจะให้เลื่อนชั้นละกัน"
อาจารย์ที่ปรึกษาพูดขึ้นแล้วต่อยโซจนล้มลง มองเห็นท้องฟ้าสีคราม ปากมีเลือดซึมออกมา อาจารย์คนอื่นที่เห็นเหตุการณ์ก็ทำเป็นมองไม่เห็น
ถึงจะใส่ชุดนักเรียนอยู่ แต่ก็ไม่มีความรู้สึกอยากเข้าไปในห้องเรียนซักนิด กระเป๋านักเรียนฟีบแบนได้รับมาจากรุ่นพี่ที่เป็นแยงกี้ไม่เคยมีหนังสือเรียนอยู่ซักเล่มเดียว ถ้าเข้าเรียนก็ยืมหนังสือคนอื่นอยู่เป็นประจำ ถึงจะประพฤติตัวแย่ยังไง แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรร้ายแรงจนต้องไปถึงตำรวจสักครั้ง เพราะกลัวว่าเรื่องจะไปถึงผู้ปกครองนั่นเอง
อยากจะหนึไปจากโลกใบนี้
มีแต่ความคิดลบๆแบบนั้นเต็มไปหมด
เมื่อผลสอบถูกส่งไปที่บ้านที่ จ. ซากะ คุณพ่อและคุณแม่โกรธมาก โทรมาที่หอพักทันที
"นี่แกทำอะไรของแกอยู่!! ถ้าไม่คิดจะเรียนอย่างจริงจังละก็พอกันที"
" ครับ เข้าใจแล้วครับ"
" โอเค เข้าใจละ งั้นไม่ได้ต้องไปเรียนก็ได้นะ วันนี้นอนพักไปก่อนนะ"
บางครั้งที่กลับหอเกินเวลา 1 ทุ่ม อาจารย์ก็แค่ถามเหตุผลแต่ไม่เคยดุด่าว่าอะไร นับว่าเป็นอาจารย์ที่ไม่ค่อยตามกฎตามระเบียบของโรงเรียนเท่าไหร่ แม้อาจจะจะเคยดุด่านักเรียนบ้าง แต่พอนักเรียนมีปัญหา ก็พร้อมที่จะก้มหัวขอโทษแทนนักเรียนอย่างไม่อาย ทำให้รู้สึกว่า อาจารย์คอยอยู่ข้างๆเสมอไม่ว่าจะเป็นเวลาไหนก็ตาม
ส่วนผู้ใหญ่คนอื่นๆนอกเหนือจากอาจารย์นั้น รู้สึกเกลียดไปหมด
นิตตะ โซอิจิในชั้นม.ปลายทำตัวเป็นเด็กเกเร โดดเรียนอยู่บ่อยๆ คะแนนสอบก็ได้ต่ำกว่ามาตรฐานจนจะไม่ได้เลื่อนไปเรียชั้น ม. 5
" ขอต่อยนายซักที แล้วจะให้เลื่อนชั้นละกัน"
อาจารย์ที่ปรึกษาพูดขึ้นแล้วต่อยโซจนล้มลง มองเห็นท้องฟ้าสีคราม ปากมีเลือดซึมออกมา อาจารย์คนอื่นที่เห็นเหตุการณ์ก็ทำเป็นมองไม่เห็น
ถึงจะใส่ชุดนักเรียนอยู่ แต่ก็ไม่มีความรู้สึกอยากเข้าไปในห้องเรียนซักนิด กระเป๋านักเรียนฟีบแบนได้รับมาจากรุ่นพี่ที่เป็นแยงกี้ไม่เคยมีหนังสือเรียนอยู่ซักเล่มเดียว ถ้าเข้าเรียนก็ยืมหนังสือคนอื่นอยู่เป็นประจำ ถึงจะประพฤติตัวแย่ยังไง แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรร้ายแรงจนต้องไปถึงตำรวจสักครั้ง เพราะกลัวว่าเรื่องจะไปถึงผู้ปกครองนั่นเอง
อยากจะหนึไปจากโลกใบนี้
มีแต่ความคิดลบๆแบบนั้นเต็มไปหมด
เมื่อผลสอบถูกส่งไปที่บ้านที่ จ. ซากะ คุณพ่อและคุณแม่โกรธมาก โทรมาที่หอพักทันที
"นี่แกทำอะไรของแกอยู่!! ถ้าไม่คิดจะเรียนอย่างจริงจังละก็พอกันที"
" ครับ เข้าใจแล้วครับ"
โซตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หัวใจเหมือนถูกปิดสนิท คืนนั้นก็แอบออกจากหอไปเดินเล่นในเมืองกับเพื่อนๆจนโดนอาจารย์คนอื่นๆโกรธ มีเพียงอาจารย์ประจำหอพักคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้ว่าอะไรเขาเลย
โซไม่เคยคิดถึงบ้าน หรือเกิดอาการโฮมซิกเลยซักครั้งเดียว
โซไม่เคยคิดถึงบ้าน หรือเกิดอาการโฮมซิกเลยซักครั้งเดียว
พอเข้าชั้น ม. 6 ก็เริ่มรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ใกล้ถึงเวลาสอบเข้ามหาวิทยาลัยเข้าไปทุกทีแต่เขาก็ยังไม่มีความรู้สึกกระตือรือร้นในการเรียนเหมือนเดิม แน่นอน ผลการเรียนก็ออกมาไม่ดีเท่าไหร่ ในห้องเรียนเดียวกัน ไม่มีใครจะไปเรียนต่อในคณะทันตแพทย์เลย อาจารย์เองก็ไม่ได้สนใจให้คำแนะแนวโซอิจิอย่างจริงจัง ไม่คิดว่าเขาจะเรียนต่อมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ ยิ่งวันสอบเอนทรานซ์ใกล้เข้ามา เขาเองก็คิดอะไรง่ายๆว่า เอาเถอะ ถ้าเอนท์ไม่ติดเดี๋ยวไปเรียน กวดวิชาเอาอีกรอบก็ยังได้ ยังมีเวลาอยู่น่า
คณะทันตแพทยฺ์ในมหาวิทยาลัยที่คุณพ่อจบมานั้นค่อนข้างมีชื่อเสียงและเข้ายาก ดังนั้นโซจึงเลือกสอบเข้าคณะทันตแพทย์ในมหาวิทยาลัยที่คุณแม่เรียนจบมาแทน
การสอบเอนทรานซ์ครั้งแรกเรียกได้ว่าถอดใจไปแล้ว ไม่ได้อ่านหนังสืออะไรเลย ไม่ได้เตรียมตัวอะไรทั้งนั้นจนวันสุดท้าย
ผลก้ออกมาอย่างที่คิดไว้ก็คือ สอบไม่ติด
" ขอเวลาอีก 1 ปี ผมจะตั้งใจเรียนที่โรงเรียนกวดวิชา แล้วปีหน้าผมจะสอบเข้าคณะทันตแพทย์ให้ได้ครับ"
โซก้มหัวขอโทษคุณพ่อคุณแม่และขอโอกาสอีกครั้งหลังจากกลับจากนางาซากิมาอยู่ที่บ้าน
นี่เป็นแผนที่เขาคิดเอาไว้อยู่แล้ว
แล้วก็เป็นไปตามที่คิดไว้ คุณพ่อและคุณแม่ให้โอกาสเขาอีก 1 ปี โซได้ไปเรียนโรงเรียนกวดวิชาในจ.ฟุกุโอกะแล้วก็ได้อยู่คนเดียวอีกครั้ง เป็นโรงเรียนกวดวิชาสำหรับสอบเข้าคณะแพทย์โดยเฉพาะ เด็กที่มาเรียนส่วนใหญ่ก็เป็นลูกสาวลูกชายของคุณหมอหรือไม่ก็เภสัชกร ทำให้รู้สึกได้ว่าทุกคนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่คล้ายๆกัน มีจุดยืนและความกดดันจากครอบครัวเหมือนๆกัน
โซอิจิเข้าไปเรียนได้ไม่นานก็ได้แก๊งเพื่อนสนิทมา 6 คน ไม่ว่าจะทำอะไรก็ทำด้วยกันตลอด มีทั้งเพื่อนจาก ฟุกุโอกะ โอซาก้า โตเกียว ซากะ ทุกคนมาพักอยู่ที่หอพักเดียวกันของโรงเรียน โซได้ฟังเพื่อนๆเล่าเรื่องราวต่างๆจากต่างประเทศอยู่บ่อยๆ เป็นอะไรที่ใหม่มาก ทุกครั้งที่ฟังก็รู้สึกตื่นเต้น อยากไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศบ้างซักครั้ง
โซอิจิไม่ได้มีแฟนเหมือนวัยรุ่นทั่วๆไป เขายังสนุกกับการอยู่คนเดียวที่ฟุกุโอกะ รู้สึกว่านี่อาจจะเป็นที่ที่เขาอยู่ได้อย่างสบายใจที่สุดก็ได้
ในช่วง 2 สัปดาห์แรก โชอิจิก็ตั้งใจเรียนอย่างดี แต่ด้วยทำเลของโรงเรียนนั้นอยู่ย่านใจกลางเมือง มีร้านอาหาร เกมเซ็นเตอร์ แหล่งจูงใจมากมาย คุณพ่อคุณแม่ให้เงินมาใช้เป็นรายเดือนซึ่งมากพอที่จะอยู่ได้โดยไม่ต้องทำงานพิเศษใดๆ ก็เลยมีเวลาว่างเหลือๆ หลังจากเรียนจบในแต่ละวัน ก็ได้ไปเที่ยวเล่นในเกมส์เซ็นเตอร์บ้าง ไปกินทงคัตสึรางเม็งร้านดังๆบ้าง พอตอนดึกๆก็ไปเข้าแก๊งเล่นเสก็ตบอร์ดจนเริ่มเก่ง บางครั้งก็เล่นกันจนถึงเช้าเลยทีเดียว พอเริ่มหิวตอนเช้าก็ไปแวะซื้อข้าวปั้นกับขนมปังที่น้านสะดวกซื้อมานั่งกิน แล้วก็เล่นสเก็ตบอร์ดต่อ
ในฤดุใบไม้ผลิ อากาศค่อนข้างหนาวก็จริง แต่พอได้เล่นสเกตบอร์ดก็รู้สึกอุ่นขึ้นมาทันที พอเริ่มเหนื่อยก็จะนั่งพักในสวน แล้วฟังเพลง "Sora no mukou" ของ SMAP พร้อมกับเฝ้ามองผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา
อา.. เนื้อเพลงนั้น ช่างตรงกับชีวิตวัยรุ่นของฉันจริงๆ
NOTE : "Sora no mukou" ของ SMAP คือเพลงนี้ค่ะ เพราะดีนะ
วันหนึ่ง โซอิจินั่งปรับทุกข์กับเพื่อนสนิทร่วมชั้นเรียนกวดวิชา
" ที่จริงแล้ว ทั้งพ่อกับแม่ของชั้นเป็นทันตแพทย์ และชั้นเองก็เป็นลูกชายคนโต เค้าก็เลยคาดหวังเอาไว้สูงว่าต้องไปเป็นหมอด้วยจะได้รับช่วงคลินิคที่บ้านต่อ จะคิดไปทำอย่างอื่นไม่ได้เลย .. ..ไม่สิ .. ถ้าไปทำอย่างอื่นละก็ คงใช้ชีวิตต่อไปไม่ได้เลยละ
แต่ก็เพราะฉันเองก็ไม่ได้มีทั้งความฝันอะไรเป็นพิเศษด้วยละมั้ง .. ก็ทำได้แค่เดินตามทางที่พวกผู้ใหญ่เขาปูเอาไว้น่ะนะ "
พอเพื่อนๆได้ฟังที่โซอิจิพูดออกมาก็เข้าใจความรู้สึกเป็นอย่างดี เพราะทุกๆคนที่มาเรียนที่นี่ ต่างก็เจอกับความคาดหวังและความกดดันจากครอบครัวไม่ต่างกัน
"ชั้นก็เหมือนกัน ไอ้การสอบเข้าคณะแพทย์ให้ได้ เรียนให้จบแล้วมาเป็นหมอที่ดีให้ได้อะไรแบบนั้น รู้สึกเหมือนกำลังมีชีวิตแทนคนๆอื่น ไม่ใช่ชีวิตของตัวเองเลย จริงๆนะ"
"ชั้นก็ด้วย ไอ้การเรียนเพื่อเตรียมสอบเข้าคณะแพทย์ที่ทำอยู่ทุกวันเนี่ย รู้มั้ย ชั้นรู้สึกอยากจะหนีไปให้ไกลๆทุกครั้งเลย ฮะๆ คุณหมอในชุดขาวงั้นเหรอ ไม่เห็นอยากจะเป็นซักนิด ชั้นนะ อยากจะไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศที่ไหนซักที่มากกว่า โลกนี้ยังมีอะไรให้เรียนรู้มากกว่าในหนังสือพวกนี้ตั้งเยอะ"
โซอิจิรู้สึกดีใจที่มีเพื่อนๆที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน และรู้สึกเหมือนๆกัน
ถ้าอยู่ตรงนี้ละก็ รู้สึกได้ว่าไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว
ในตอนนั้นเขารู้สึกว่า คลินิคทำฟันของคุณพ่อและคุณปู่ใน จ. ซากะนั้นห่างไกลออกไปเหลือเกิน
โซอิจินั่งคุยกับเพื่อนๆยันเช้า เล่นสเก็ตบอร์ดอีก สองสามรอบ แล้วก็ไปอาบน้ำ เข้าเรียนที่โรงเรียนกวดวิชา
การใช้ชีวิตในแต่ละวันช่วงนั้นก็ไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ แต่มันก็ทำให้รู้สึกสบายใจดี
ที่โรงเรียนกวดวิชา โซอิจิได้รู้จักกับผุ้ชายวัย 30 คนหนึ่งชื่อ ฟุเสะซัง ถึงจะอยู่ในวัยทำงานแล้ว แต่ฟุเสะซังกลับมาเรียนกวดวิชาเพื่อเตรียมเข้าคณะเภสัชด้วย เขาเป็นผู้ชายที่แต่งตัวดุเท่ห์และมีเซ๊นส์ด้านแฟชั่นมากๆ ใช้ของแบรนด์เนมตั้งแต่หัวจรดเท้า ฟุเสะซังขับรถมอเตอร์ไซฮอนด้า 50 cc รุ่น renger ที่ตกแต่งแบบวัยรุ่นสุดๆ ดูจากค่าแต่งรถแล้ว ก็ท่าทางจะเป็นผู้ชายที่รวยพอสมควร
"โคตรเท่เลย"
โซอิจิเผลอพูดออกมาตอนที่เห็นรถมอเตอร์ไซด์ของฟุเสะซัง
เจ้าของรถมอเตอร์ไซด์ที่ดูท่าทางเหมือนแยงกี้หันมายิ้มให้
"อยากลองขี่ดูมั้ยล่ะ"
" เอ้อ ไม่เป็นไรครับ ผมไม่มีใบขับขี่ ผมเพิ่งจะจบม.ปลาย ยังไม่มีเวลาไปทำใบขับขี่เลย"
ที่คิวชูไม่ค่อยมีหิมะตก ก็เลยมีคนที่ชอบขี่มอเตอร์ไซด์ค่อนข้างมาก สมัยที่โซอิจิอยู่ม.ปลาย ตอนอยู่ที่หอ ก็เคยนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์ของรุ่นพี่ไปเที่ยวบ้างอยู่เหมือนกันและก็รู้สึกชื่นชอบมอเตอร์ไซด์อยู่ไม่น้อย
ตอนที่เห็นมอเตอร์ไซด์ของฟุเสะซังก็รู้สึกมีแรงบันดาลใจขึ้นมาทันที
อยากลองขี่บ้างจัง
ก่อนอื่นก็ต้องไปทำใบขับขี่ ซึ่งก็ใช้เงินพอสมควร ลำฟังแค่เงินที่พ่อแม่ให้มาใช้แต่ละเดือนก็ไม่พอแน่นอน
โซอิจิแอบโดดเรียนไปทำงานพิเศษ พอเก็บเงินได้แล้วก็ไปเรียนขับรถมอเตอร์ไซด์และทำใบขับขี่โดยไม่บอกใครเลย (ที่ญี่ปุ่นต้องผ่านการเรียนขับรถในโรงเรียนที่ทางการรับรองก่อนเท่านั้นถึงจะไปสอบใบขับขี่ได้) จากนั้นก็ซื้อมอเตอร์ไซด์มือสองเก่าๆมาคันนึง
ซักวันนึงอยากจะแต่งรถเท่ห์ๆได้อย่างฟุเสะซังบ้าง
อา.. นี่นับเป็นความฝันของชั้นได้ไหมนะ
แต่ว่า .. หลังจากที่วันหยุดฤดูร้อนจบลง สิ่งที่รออยู่ก็คือการสอบซ้อมใหญ่เพื่อเตรียมสอบเอนทรานซ์ของโรงเรียน โซอิจิที่เอาแต่โดดเรียนมาตลอดตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิ เพิ่งจะได้รู้สึกตัวว่าต้องเตรียมตัวเรียนอย่างหนักแล้ว ...ในตอนที่กำลังจะเริ่มตั้งใจเรียนนั้น ก็มีเรื่องที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น
อยู่ดีๆโซอิจิก็รู้สึกเจ็บที่หน้าอก จะหายใจเข้าหรือหายใจออกก็รู้สึกเจ็บตลอดเวลา พอเข้าไปตรวจที่โรงพยาบาลก็พบว่าเป็นโรคเกี่ยวกับเยื่อหุ้มปอด ถึงจะรักษาหาย แต่ก็ยังมีอาการเจ็บหลงเหลืออยู่ พอเข้าช่วงฤดูใบไม้ร่วง ก็ได้เข้าแอดมิดในโรงพยาบาลที่ฟุกุโอกะ ทำให้การเรียนชะงักไปอีกครั้ง
"ถ้าไม่รักษาตอนนี้ละก็แย่แน่ๆ" คุณหมอพูดขึ้น และแนะนำให้ผ่าตัด
"เป็นการผ่าตัดที่ไม่ยาก ไม่ต้องกังวลไปนะ"
โซอิจิตกลงเข้ารับการผ่าตัด เป็นการผ่าตัดที่จบลงใน 1 วัน สามารถออกจากโรงพยาบาลได้เลย
หลังจากผ่าตัดเสร็จ โซอิจิกลับมาเรียนได้เพียง 2 เดือนก็รู้สึกอาการกำเริบ ต้องเข้าแอดมิดที่โรงพยาบาลอีกครั้ง
"ครั้งนี้คงต้องผ่าตัดเปิดทรวงอก แล้วละ"
"หาาา"
เป็นอะไรที่เกินจินตนาการไปมาก
" เอ่อ ผมเป็นนักเรียนเตรียมเอนท์ ตอนนี้เรียนอยู่ที่โรงเรียนกวดวิชาน่ะครับ ถ้าผ่าตัดแล้วจะมีผลอะไรกับการเรียนมั้ยครับ"
คุณหมอทำหน้าตาจริงจัง หลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามตรงๆ
" ถ้าผ่าตัดแบบเปิดทรวงอกก็มีโอกาสที่จะรักษาหายมากกว่า ในตอนนี้หมอคิดว่า การรักษาโรคให้หายเป็นเรื่องสำคัญกว่านะ"
เริ่มเข้าปลายฤดูใบไม้ร่วง โซอิจิต้องนอนที่โรงพยาบาลเพื่อเตรียมตัวเข้าผ่าตัด
ในตอนที่กำลังนอนมองเพดานของโรงพยาบาลนั้น ก็พลางคิดไปว่า
"ทำไมชั้นถึงได้เป็นคนดวงซวยอยา่งนี้น๊า"
ทั้งที่คิดว่าจะตั้งใจเรียนแล้วแท้ๆ ก็ดันมาป่วยซะอีก
ตั้งแต่ฤดูร้อนจนจะหมดฤดูใบไม้ร่วงก็เข้าๆออกๆโรงพยาบาลตลอด
อ๊าา แล้วจะไปอ่านหนังสือสอบทันได้ยังไง
สงสัยจะต้องไปเรียนที่โรงเรียนกวดวิชาอีกปีนึงแล้วละมั้ง
เออ แต่ก็ช่างมันเถอะ
ไม่ได้จะอยากสอบอะไรซักเท่าไหร่ด้วย
สองความรู้สึกตีกันอยู่ในหัว
หลังจากการผ่าตัดผ่านไปได้ด้วยดี โซอิจิได้ออกจากโรงพยาบาลและก็คิดว่า ปีนี้จะยอมแพ้ไปก่อน แต่ในปีหน้าจะตั้งใจเรียนอย่างหนักแน่นอน
จากนั้นมาเขาก็เปลี่ยนไป เข้าเรียนอย่างสม่ำเสมอไม่เคยขาด
ครั้งนี้แหละ จะตั้งใจเรียนให้เต็มที่เลย
แต่ว่า ยิ่งตั้งใจเรียนเท่าไหร่ก็ยิ่งมีความกังวลใจมากขึ้นเท่านั้น
ผลของการสอบซ้อมที่โรงเรียนกวดวิชาออกมาไม่ค่อยดีนัก อยู่ในเกณฑ์คะแนนที่คาบเส้นตลอด
ในระหว่างที่กำลังกลุ้มใจกับคะแนนสอบอยู่นั้น ก็ได้รับการติดต่อจากคุณแม่
" ปีหน้าจะเป็นเด็กเตรียมสอบแบบนี้อีกไม่ได้แล้วนะ ไปลองสอบเข้าที่นี่ดูสิ"
" เอ๊ะ .. ที่ไหนเหรอครับ"
ซองจดหมายที่คุณแม่ถือมาให้ มีตัวอักษรเขียนอยู่ว่า
คณะทันตแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยโคริยาม่า
"โคริยาม่า... นี่มัน..ที่ไหนเหรอครับ" เป็นครั้ังแรกที่ได้ยินชื่อนี้
" เมืองโคริยาม่า จ. ฟุคุชิม่า จะมีเปิดสอบตรงเร็วๆนี้ ไปสอบเข้าที่นี่ให้ได้ล่ะ " คุณแม่ตอบกลับมา
จ.ฟุคุชิม่า .. แค่ชื่อก็ดูไกลเหมือนไปต่างประเทศแล้ว
สำหรับโซอิจิที่ไม่ค่อยมีทางเลือกอะไรมากนัก ก็สมัครสอบไปทันที
จองตั่วเครื่องบินจากฟุกุโอกะไปลงสนามบินฮาเนดะที่โตเกียว แล้วขึ้นรถชินกันเซ็นสายโทโฮคุไปลงที่เมืองโคริยาม่า จ. ฟุคุชิม่า ตรงไปเข้าสอบโดยในตึกคณะทันตแพทยศาสตร์ร่วมกับนักเรียนแปลกหน้าจากทั่วประเทศอีกหลายคน
ผลการสอบถุกส่งไปที่บ้านอีกไม่กี่วันต่อมา
ปรากฎว่า "สอบผ่าน"
หลังจากที่ได้รู้ข่าว ก็รู้สึกโล่งอก เหมือนความกดดันทั้งหมดจากครอบครัวหลุดพ้นไปซะที
คุณปู่ คุณพ่อ คุณแม่ ก็รู้สึกดูโล่งใจที่จะมีคนมารับช่วงคลินิคทันตกรรมต่อซะที
น้องสาวและน้องชายต่างดีใจกันอย่างกับเป็นเรื่องของตัวเอง
" ต่อไปก็สอบเอาใบประกอบวิชาชีพ .. ทำให้ได้นะพี่" น้องๆต่างอวยพร
โซอิจิบอกข่าวกับเพื่อนร่วมโรงเรียนกวดวิชา ทุกคนต่างแสดงความยินดีและแลกเปลี่ยนที่อยู่กัน ระหว่างรอเปิดเทอมของมหาวิทยาลัย เขาก็ย้ายจากฟุกุโอกะกลับมาอยู่บ้านที่ จ. ซากะ
ในตอนนั้น เมื่อไหร่ก็ตามที่หลับตาลง ก็คิดไปถึงอนาคตที่ตัวเองอยากจะไป
จะไปในทางที่พ่อแม่เลือกไว้ให้แบบนีั้
หรือจะไปในทางที่เราจะเลือกเองดีนะ
คณะทันตแพทยฺ์ในมหาวิทยาลัยที่คุณพ่อจบมานั้นค่อนข้างมีชื่อเสียงและเข้ายาก ดังนั้นโซจึงเลือกสอบเข้าคณะทันตแพทย์ในมหาวิทยาลัยที่คุณแม่เรียนจบมาแทน
การสอบเอนทรานซ์ครั้งแรกเรียกได้ว่าถอดใจไปแล้ว ไม่ได้อ่านหนังสืออะไรเลย ไม่ได้เตรียมตัวอะไรทั้งนั้นจนวันสุดท้าย
ผลก้ออกมาอย่างที่คิดไว้ก็คือ สอบไม่ติด
" ขอเวลาอีก 1 ปี ผมจะตั้งใจเรียนที่โรงเรียนกวดวิชา แล้วปีหน้าผมจะสอบเข้าคณะทันตแพทย์ให้ได้ครับ"
โซก้มหัวขอโทษคุณพ่อคุณแม่และขอโอกาสอีกครั้งหลังจากกลับจากนางาซากิมาอยู่ที่บ้าน
นี่เป็นแผนที่เขาคิดเอาไว้อยู่แล้ว
แล้วก็เป็นไปตามที่คิดไว้ คุณพ่อและคุณแม่ให้โอกาสเขาอีก 1 ปี โซได้ไปเรียนโรงเรียนกวดวิชาในจ.ฟุกุโอกะแล้วก็ได้อยู่คนเดียวอีกครั้ง เป็นโรงเรียนกวดวิชาสำหรับสอบเข้าคณะแพทย์โดยเฉพาะ เด็กที่มาเรียนส่วนใหญ่ก็เป็นลูกสาวลูกชายของคุณหมอหรือไม่ก็เภสัชกร ทำให้รู้สึกได้ว่าทุกคนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่คล้ายๆกัน มีจุดยืนและความกดดันจากครอบครัวเหมือนๆกัน
โซอิจิเข้าไปเรียนได้ไม่นานก็ได้แก๊งเพื่อนสนิทมา 6 คน ไม่ว่าจะทำอะไรก็ทำด้วยกันตลอด มีทั้งเพื่อนจาก ฟุกุโอกะ โอซาก้า โตเกียว ซากะ ทุกคนมาพักอยู่ที่หอพักเดียวกันของโรงเรียน โซได้ฟังเพื่อนๆเล่าเรื่องราวต่างๆจากต่างประเทศอยู่บ่อยๆ เป็นอะไรที่ใหม่มาก ทุกครั้งที่ฟังก็รู้สึกตื่นเต้น อยากไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศบ้างซักครั้ง
โซอิจิไม่ได้มีแฟนเหมือนวัยรุ่นทั่วๆไป เขายังสนุกกับการอยู่คนเดียวที่ฟุกุโอกะ รู้สึกว่านี่อาจจะเป็นที่ที่เขาอยู่ได้อย่างสบายใจที่สุดก็ได้
ในช่วง 2 สัปดาห์แรก โชอิจิก็ตั้งใจเรียนอย่างดี แต่ด้วยทำเลของโรงเรียนนั้นอยู่ย่านใจกลางเมือง มีร้านอาหาร เกมเซ็นเตอร์ แหล่งจูงใจมากมาย คุณพ่อคุณแม่ให้เงินมาใช้เป็นรายเดือนซึ่งมากพอที่จะอยู่ได้โดยไม่ต้องทำงานพิเศษใดๆ ก็เลยมีเวลาว่างเหลือๆ หลังจากเรียนจบในแต่ละวัน ก็ได้ไปเที่ยวเล่นในเกมส์เซ็นเตอร์บ้าง ไปกินทงคัตสึรางเม็งร้านดังๆบ้าง พอตอนดึกๆก็ไปเข้าแก๊งเล่นเสก็ตบอร์ดจนเริ่มเก่ง บางครั้งก็เล่นกันจนถึงเช้าเลยทีเดียว พอเริ่มหิวตอนเช้าก็ไปแวะซื้อข้าวปั้นกับขนมปังที่น้านสะดวกซื้อมานั่งกิน แล้วก็เล่นสเก็ตบอร์ดต่อ
ในฤดุใบไม้ผลิ อากาศค่อนข้างหนาวก็จริง แต่พอได้เล่นสเกตบอร์ดก็รู้สึกอุ่นขึ้นมาทันที พอเริ่มเหนื่อยก็จะนั่งพักในสวน แล้วฟังเพลง "Sora no mukou" ของ SMAP พร้อมกับเฝ้ามองผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา
อา.. เนื้อเพลงนั้น ช่างตรงกับชีวิตวัยรุ่นของฉันจริงๆ
NOTE : "Sora no mukou" ของ SMAP คือเพลงนี้ค่ะ เพราะดีนะ
วันหนึ่ง โซอิจินั่งปรับทุกข์กับเพื่อนสนิทร่วมชั้นเรียนกวดวิชา
" ที่จริงแล้ว ทั้งพ่อกับแม่ของชั้นเป็นทันตแพทย์ และชั้นเองก็เป็นลูกชายคนโต เค้าก็เลยคาดหวังเอาไว้สูงว่าต้องไปเป็นหมอด้วยจะได้รับช่วงคลินิคที่บ้านต่อ จะคิดไปทำอย่างอื่นไม่ได้เลย .. ..ไม่สิ .. ถ้าไปทำอย่างอื่นละก็ คงใช้ชีวิตต่อไปไม่ได้เลยละ
แต่ก็เพราะฉันเองก็ไม่ได้มีทั้งความฝันอะไรเป็นพิเศษด้วยละมั้ง .. ก็ทำได้แค่เดินตามทางที่พวกผู้ใหญ่เขาปูเอาไว้น่ะนะ "
พอเพื่อนๆได้ฟังที่โซอิจิพูดออกมาก็เข้าใจความรู้สึกเป็นอย่างดี เพราะทุกๆคนที่มาเรียนที่นี่ ต่างก็เจอกับความคาดหวังและความกดดันจากครอบครัวไม่ต่างกัน
"ชั้นก็เหมือนกัน ไอ้การสอบเข้าคณะแพทย์ให้ได้ เรียนให้จบแล้วมาเป็นหมอที่ดีให้ได้อะไรแบบนั้น รู้สึกเหมือนกำลังมีชีวิตแทนคนๆอื่น ไม่ใช่ชีวิตของตัวเองเลย จริงๆนะ"
"ชั้นก็ด้วย ไอ้การเรียนเพื่อเตรียมสอบเข้าคณะแพทย์ที่ทำอยู่ทุกวันเนี่ย รู้มั้ย ชั้นรู้สึกอยากจะหนีไปให้ไกลๆทุกครั้งเลย ฮะๆ คุณหมอในชุดขาวงั้นเหรอ ไม่เห็นอยากจะเป็นซักนิด ชั้นนะ อยากจะไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศที่ไหนซักที่มากกว่า โลกนี้ยังมีอะไรให้เรียนรู้มากกว่าในหนังสือพวกนี้ตั้งเยอะ"
โซอิจิรู้สึกดีใจที่มีเพื่อนๆที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน และรู้สึกเหมือนๆกัน
ถ้าอยู่ตรงนี้ละก็ รู้สึกได้ว่าไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว
ในตอนนั้นเขารู้สึกว่า คลินิคทำฟันของคุณพ่อและคุณปู่ใน จ. ซากะนั้นห่างไกลออกไปเหลือเกิน
โซอิจินั่งคุยกับเพื่อนๆยันเช้า เล่นสเก็ตบอร์ดอีก สองสามรอบ แล้วก็ไปอาบน้ำ เข้าเรียนที่โรงเรียนกวดวิชา
การใช้ชีวิตในแต่ละวันช่วงนั้นก็ไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ แต่มันก็ทำให้รู้สึกสบายใจดี
ที่โรงเรียนกวดวิชา โซอิจิได้รู้จักกับผุ้ชายวัย 30 คนหนึ่งชื่อ ฟุเสะซัง ถึงจะอยู่ในวัยทำงานแล้ว แต่ฟุเสะซังกลับมาเรียนกวดวิชาเพื่อเตรียมเข้าคณะเภสัชด้วย เขาเป็นผู้ชายที่แต่งตัวดุเท่ห์และมีเซ๊นส์ด้านแฟชั่นมากๆ ใช้ของแบรนด์เนมตั้งแต่หัวจรดเท้า ฟุเสะซังขับรถมอเตอร์ไซฮอนด้า 50 cc รุ่น renger ที่ตกแต่งแบบวัยรุ่นสุดๆ ดูจากค่าแต่งรถแล้ว ก็ท่าทางจะเป็นผู้ชายที่รวยพอสมควร
"โคตรเท่เลย"
โซอิจิเผลอพูดออกมาตอนที่เห็นรถมอเตอร์ไซด์ของฟุเสะซัง
เจ้าของรถมอเตอร์ไซด์ที่ดูท่าทางเหมือนแยงกี้หันมายิ้มให้
"อยากลองขี่ดูมั้ยล่ะ"
" เอ้อ ไม่เป็นไรครับ ผมไม่มีใบขับขี่ ผมเพิ่งจะจบม.ปลาย ยังไม่มีเวลาไปทำใบขับขี่เลย"
ที่คิวชูไม่ค่อยมีหิมะตก ก็เลยมีคนที่ชอบขี่มอเตอร์ไซด์ค่อนข้างมาก สมัยที่โซอิจิอยู่ม.ปลาย ตอนอยู่ที่หอ ก็เคยนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์ของรุ่นพี่ไปเที่ยวบ้างอยู่เหมือนกันและก็รู้สึกชื่นชอบมอเตอร์ไซด์อยู่ไม่น้อย
ตอนที่เห็นมอเตอร์ไซด์ของฟุเสะซังก็รู้สึกมีแรงบันดาลใจขึ้นมาทันที
อยากลองขี่บ้างจัง
ก่อนอื่นก็ต้องไปทำใบขับขี่ ซึ่งก็ใช้เงินพอสมควร ลำฟังแค่เงินที่พ่อแม่ให้มาใช้แต่ละเดือนก็ไม่พอแน่นอน
โซอิจิแอบโดดเรียนไปทำงานพิเศษ พอเก็บเงินได้แล้วก็ไปเรียนขับรถมอเตอร์ไซด์และทำใบขับขี่โดยไม่บอกใครเลย (ที่ญี่ปุ่นต้องผ่านการเรียนขับรถในโรงเรียนที่ทางการรับรองก่อนเท่านั้นถึงจะไปสอบใบขับขี่ได้) จากนั้นก็ซื้อมอเตอร์ไซด์มือสองเก่าๆมาคันนึง
ซักวันนึงอยากจะแต่งรถเท่ห์ๆได้อย่างฟุเสะซังบ้าง
อา.. นี่นับเป็นความฝันของชั้นได้ไหมนะ
แต่ว่า .. หลังจากที่วันหยุดฤดูร้อนจบลง สิ่งที่รออยู่ก็คือการสอบซ้อมใหญ่เพื่อเตรียมสอบเอนทรานซ์ของโรงเรียน โซอิจิที่เอาแต่โดดเรียนมาตลอดตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิ เพิ่งจะได้รู้สึกตัวว่าต้องเตรียมตัวเรียนอย่างหนักแล้ว ...ในตอนที่กำลังจะเริ่มตั้งใจเรียนนั้น ก็มีเรื่องที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น
อยู่ดีๆโซอิจิก็รู้สึกเจ็บที่หน้าอก จะหายใจเข้าหรือหายใจออกก็รู้สึกเจ็บตลอดเวลา พอเข้าไปตรวจที่โรงพยาบาลก็พบว่าเป็นโรคเกี่ยวกับเยื่อหุ้มปอด ถึงจะรักษาหาย แต่ก็ยังมีอาการเจ็บหลงเหลืออยู่ พอเข้าช่วงฤดูใบไม้ร่วง ก็ได้เข้าแอดมิดในโรงพยาบาลที่ฟุกุโอกะ ทำให้การเรียนชะงักไปอีกครั้ง
"ถ้าไม่รักษาตอนนี้ละก็แย่แน่ๆ" คุณหมอพูดขึ้น และแนะนำให้ผ่าตัด
"เป็นการผ่าตัดที่ไม่ยาก ไม่ต้องกังวลไปนะ"
โซอิจิตกลงเข้ารับการผ่าตัด เป็นการผ่าตัดที่จบลงใน 1 วัน สามารถออกจากโรงพยาบาลได้เลย
หลังจากผ่าตัดเสร็จ โซอิจิกลับมาเรียนได้เพียง 2 เดือนก็รู้สึกอาการกำเริบ ต้องเข้าแอดมิดที่โรงพยาบาลอีกครั้ง
"ครั้งนี้คงต้องผ่าตัดเปิดทรวงอก แล้วละ"
"หาาา"
เป็นอะไรที่เกินจินตนาการไปมาก
" เอ่อ ผมเป็นนักเรียนเตรียมเอนท์ ตอนนี้เรียนอยู่ที่โรงเรียนกวดวิชาน่ะครับ ถ้าผ่าตัดแล้วจะมีผลอะไรกับการเรียนมั้ยครับ"
คุณหมอทำหน้าตาจริงจัง หลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามตรงๆ
" ถ้าผ่าตัดแบบเปิดทรวงอกก็มีโอกาสที่จะรักษาหายมากกว่า ในตอนนี้หมอคิดว่า การรักษาโรคให้หายเป็นเรื่องสำคัญกว่านะ"
เริ่มเข้าปลายฤดูใบไม้ร่วง โซอิจิต้องนอนที่โรงพยาบาลเพื่อเตรียมตัวเข้าผ่าตัด
ในตอนที่กำลังนอนมองเพดานของโรงพยาบาลนั้น ก็พลางคิดไปว่า
"ทำไมชั้นถึงได้เป็นคนดวงซวยอยา่งนี้น๊า"
ทั้งที่คิดว่าจะตั้งใจเรียนแล้วแท้ๆ ก็ดันมาป่วยซะอีก
ตั้งแต่ฤดูร้อนจนจะหมดฤดูใบไม้ร่วงก็เข้าๆออกๆโรงพยาบาลตลอด
อ๊าา แล้วจะไปอ่านหนังสือสอบทันได้ยังไง
สงสัยจะต้องไปเรียนที่โรงเรียนกวดวิชาอีกปีนึงแล้วละมั้ง
เออ แต่ก็ช่างมันเถอะ
ไม่ได้จะอยากสอบอะไรซักเท่าไหร่ด้วย
สองความรู้สึกตีกันอยู่ในหัว
หลังจากการผ่าตัดผ่านไปได้ด้วยดี โซอิจิได้ออกจากโรงพยาบาลและก็คิดว่า ปีนี้จะยอมแพ้ไปก่อน แต่ในปีหน้าจะตั้งใจเรียนอย่างหนักแน่นอน
จากนั้นมาเขาก็เปลี่ยนไป เข้าเรียนอย่างสม่ำเสมอไม่เคยขาด
ครั้งนี้แหละ จะตั้งใจเรียนให้เต็มที่เลย
แต่ว่า ยิ่งตั้งใจเรียนเท่าไหร่ก็ยิ่งมีความกังวลใจมากขึ้นเท่านั้น
ผลของการสอบซ้อมที่โรงเรียนกวดวิชาออกมาไม่ค่อยดีนัก อยู่ในเกณฑ์คะแนนที่คาบเส้นตลอด
ในระหว่างที่กำลังกลุ้มใจกับคะแนนสอบอยู่นั้น ก็ได้รับการติดต่อจากคุณแม่
" ปีหน้าจะเป็นเด็กเตรียมสอบแบบนี้อีกไม่ได้แล้วนะ ไปลองสอบเข้าที่นี่ดูสิ"
" เอ๊ะ .. ที่ไหนเหรอครับ"
ซองจดหมายที่คุณแม่ถือมาให้ มีตัวอักษรเขียนอยู่ว่า
คณะทันตแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยโคริยาม่า
"โคริยาม่า... นี่มัน..ที่ไหนเหรอครับ" เป็นครั้ังแรกที่ได้ยินชื่อนี้
" เมืองโคริยาม่า จ. ฟุคุชิม่า จะมีเปิดสอบตรงเร็วๆนี้ ไปสอบเข้าที่นี่ให้ได้ล่ะ " คุณแม่ตอบกลับมา
จ.ฟุคุชิม่า .. แค่ชื่อก็ดูไกลเหมือนไปต่างประเทศแล้ว
สำหรับโซอิจิที่ไม่ค่อยมีทางเลือกอะไรมากนัก ก็สมัครสอบไปทันที
จองตั่วเครื่องบินจากฟุกุโอกะไปลงสนามบินฮาเนดะที่โตเกียว แล้วขึ้นรถชินกันเซ็นสายโทโฮคุไปลงที่เมืองโคริยาม่า จ. ฟุคุชิม่า ตรงไปเข้าสอบโดยในตึกคณะทันตแพทยศาสตร์ร่วมกับนักเรียนแปลกหน้าจากทั่วประเทศอีกหลายคน
ผลการสอบถุกส่งไปที่บ้านอีกไม่กี่วันต่อมา
ปรากฎว่า "สอบผ่าน"
หลังจากที่ได้รู้ข่าว ก็รู้สึกโล่งอก เหมือนความกดดันทั้งหมดจากครอบครัวหลุดพ้นไปซะที
คุณปู่ คุณพ่อ คุณแม่ ก็รู้สึกดูโล่งใจที่จะมีคนมารับช่วงคลินิคทันตกรรมต่อซะที
น้องสาวและน้องชายต่างดีใจกันอย่างกับเป็นเรื่องของตัวเอง
" ต่อไปก็สอบเอาใบประกอบวิชาชีพ .. ทำให้ได้นะพี่" น้องๆต่างอวยพร
โซอิจิบอกข่าวกับเพื่อนร่วมโรงเรียนกวดวิชา ทุกคนต่างแสดงความยินดีและแลกเปลี่ยนที่อยู่กัน ระหว่างรอเปิดเทอมของมหาวิทยาลัย เขาก็ย้ายจากฟุกุโอกะกลับมาอยู่บ้านที่ จ. ซากะ
ในตอนนั้น เมื่อไหร่ก็ตามที่หลับตาลง ก็คิดไปถึงอนาคตที่ตัวเองอยากจะไป
จะไปในทางที่พ่อแม่เลือกไว้ให้แบบนีั้
หรือจะไปในทางที่เราจะเลือกเองดีนะ
บทที่ 4.8 บนเส้นทางที่พ่อแม่ขีดไว้ให้
Reviewed by ITadmin
on
10:27:00
Rating:
![บทที่ 4.8 บนเส้นทางที่พ่อแม่ขีดไว้ให้](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjz9e35Pr_UF1ZgjoXai5yVwvcliBT_RAKRHby-vAYOPerlpvlETy7-QIzPFptHNggUdMuB6ri0pdviCWxohr81minD1OpcNY3xWeYZ463pheMhudHyPscED2mbaky1DvPzis1AkoI1pkE/s72-c/love-life-live-nature-family-motivation-path-help-tree-1160x928.jpg)
No comments: