บทที่ 2.5
การเติบโตของจิน
จิน.....ลูกชายคนโตของตระกูลโกะได เติบโตมาพร้อมกับพี่สาวที่ห่างกัน 2 ปี และน้องชายที่ห่างกัน 3 ปี
เนื่องจากเป็นลูกชายคนโต จึงได้รับการเลี้ยงดูที่เข้มงวดที่สุดจากคุณพ่อ ทั้งคำด่าและเสียงตะคอกที่มีให้มากกว่าลูกๆคนอื่นเป็นเท่าตัว
ลูกชายของตระกูลโกะไดน่ะ คือคนที่จะเติบโตไปเป็นหมอเท่านั้น
เป็นเรื่องที่คุณพ่อตัดสินใจเอาไว้ตั้งแต่จินยังไม่เกิด
เป็นเรื่องที่คุณพ่อตัดสินใจเอาไว้ตั้งแต่จินยังไม่เกิด
"ชื่อของเด็กคนนี้น่ะ เขียนว่า 仁義 (จินกิ=คุณธรรม,ความยุติธรรม) แต่ให้ออกเสียงอ่านเป็น ฮิโตะโยชิ หมายถึงคนที่มีคุณธรรมกับผู้อื่น .. "
"นี่แหละ..คือชื่อของหมอที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต"
"นี่แหละ..คือชื่อของหมอที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต"
เป็นคำพูดของคุณพ่อที่พูดขึ้นในวันแรกที่จินลืมตาขึ้นมาดูโลก
ตอนที่จินเกิดมานั้น ครอบครัวโกะไดอาศัยอยู่ในบ้านเดี่ยวสไตล์ญี่ปุ่นขนาดใหญ่ที่โอซาก้า มีสวนหย่อมส่วนตัวที่มีบ่อน้ำ เนินทราย และบันไดของเล่นพร้อมให้เด็กๆได้เล่นตลอดเวลา เป็นบ้านเช่าในราคาเพียง 7หมื่นเยน นับว่าถูกมากเมื่อเที่ยบกับความกว้างใหญ่ที่มี
บางครั้งก็จะได้ยินเสียงเหมือนคนเดินอยู่ชั้น 2 ทั้งๆที่ไม่มีใครอยู่ บางครั้งก็มีคนเคาะประตู พอเปิดไปแล้วก็ไม่มีใครเลย สมัยที่จินและฮิเดะยังตัวเล็กๆ เวลาที่เล่นอยู่ด้วยกันในสวน บางทีก็จะชี้ไม้ชี้มือแล้วบอกว่า "ดูสิ มีคนตัวเล็กๆอยู่เต็มไปหมดเลย" ทั้งๆที่ตรงนั้นไม่มีใครซักคน
"อ๋อ เป็นพวกภูติผู้พิทักษ์บ้านน่ะจ้ะ ไม่ต้องกลัวหรอกนะ"
คุณแม่มักจะพูดแบบนี้ทุกครั้งเวลาที่มีเรื่องประหลาดๆเกิดขึ้นในบ้านแบบนั้น
บางครั้งก็จะได้ยินเสียงเหมือนคนเดินอยู่ชั้น 2 ทั้งๆที่ไม่มีใครอยู่ บางครั้งก็มีคนเคาะประตู พอเปิดไปแล้วก็ไม่มีใครเลย สมัยที่จินและฮิเดะยังตัวเล็กๆ เวลาที่เล่นอยู่ด้วยกันในสวน บางทีก็จะชี้ไม้ชี้มือแล้วบอกว่า "ดูสิ มีคนตัวเล็กๆอยู่เต็มไปหมดเลย" ทั้งๆที่ตรงนั้นไม่มีใครซักคน
"อ๋อ เป็นพวกภูติผู้พิทักษ์บ้านน่ะจ้ะ ไม่ต้องกลัวหรอกนะ"
คุณแม่มักจะพูดแบบนี้ทุกครั้งเวลาที่มีเรื่องประหลาดๆเกิดขึ้นในบ้านแบบนั้น
ถัดจากสวนที่บ้านไปนิดหน่อย มีโรงฝึกเคนโด้ที่คุณพ่อมักจะไปฝึกซ้อมเป็นประจำ
พอจินเริ่มที่จะเดินได้ คุณพ่อก็เริ่มพาไปโรงฝึกเคนโด้ทันที ซึ่งแม้ว่าการฝึกเคนโด้ของคุณพ่อนั้นจะเข้มงวดเอาจริงเอาจังแค่ไหน ก็เทียบไม่ได้เลยกับความเข้มงวดในการเรียนหนังสือของลูกชาย
จินเริ่มเรียนพิเศษตั้งแต่อายุ 3ขวบ ที่ต้องเคี่ยวเข็ญให้เรียนมากขนาดนี้ก็เพื่อที่จะทำคะแนนให้ได้อย่างดีเยี่ยมในทุกๆวิชา เพราะการจะเข้ามหาวิทยาลัยแพทย์ แล้วผ่านการสอบรับใบประกาศณียบัตรวิชาชีพให้ได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ด้วยความคิดเช่นนั้น...คุณพ่อจึงเตรียมปูหนทางไว้ให้จินตั้งแต่ก่อนเข้าเรียนประถม
และพอเข้าชั้นประถม จินก็ไม่ได้รับอนุญาติให้คิดเรื่องอื่นนอกเหนือไปจากเรื่องเรียนเลย ทุกๆวัน จะต้องทำแบบฝึกหัดจากหนังสือของสำนักพิมพ์ต่างๆอย่างน้อย 5บท หรือ 50 ข้อ ถ้าทำไม่เสร็จก็ห้ามนอน ซึ่งจินก็ทำตามที่พ่อสั่งเสมอมา
พอเข้าชั้นป.3 จินที่ผ่านการทำโจทย์รูปแบบต่างๆมามากกว่าหมื่นข้อ ก็สามารถสอบได้เป็นอันดับหนึ่งทั้งในระดับเขต และระดับจังหวัด สมกับที่คุณพ่อได้ตั้งใจไว้
พอเข้าชั้นป.3 จินที่ผ่านการทำโจทย์รูปแบบต่างๆมามากกว่าหมื่นข้อ ก็สามารถสอบได้เป็นอันดับหนึ่งทั้งในระดับเขต และระดับจังหวัด สมกับที่คุณพ่อได้ตั้งใจไว้
แต่อย่างนั้นก็ตาม ในวันพบผู้ปกครองที่โรงเรียนเมื่อตอนป.3 คุณครูกลับพูดแนะนำกับคุณพ่อว่า
" ตามบทเรียนในระดับชั้น ป.3 เนี่ย ใช้วิธีการคำนวนพื้นที่แบบนี้ไม่ได้นะครับ เป็นเรื่องที่ยังไม่ได้สอนในห้องเรียน "
แค่คำแนะนำสั้นๆ กลับทำให้คุณพ่อโมโหเป็นไฟ
" นี่คุณจะบ้ารึไง!! เป็นครูประสาอะไร มันก็ได้คำตอบมาถูกต้องเหมือนกันไม่ใช่เหรอ .. เรียนเลขน่ะ ขอแค่ได้ผลลัพท์มาถูกก็พอแล้วนี่"
"เอ่อ ไม่ใช่นะครับ นี่เป็นการเรียนคณิตศาสตร์ .. คณิตศาสตร์ระดับป.3นะครับ"
"ถ้าพูดจากันไม่รู้เรื่องแบบนี้ผมกลับละ" พอพูดจบคุณพ่อก็ดึงมือจินกลับบ้านทันที
เรื่องราวในวันนั้นเป็นที่เล่าขานกันปากต่อปากไปทั้งโรงเรียน
เรื่องราวในวันนั้นเป็นที่เล่าขานกันปากต่อปากไปทั้งโรงเรียน
จินในวัยเด็กนั้นเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ว่าสิ่งที่คุณพ่อชี้นำมาทั้งหมดนั้นคือสิ่งที่ถูกต้องเสมอ เวลาที่มีใครถามว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร เขาก็จะตอบอย่างเต็มปากเต็มคำว่า "ผมจะเป็นหมอครับ"
เขาทุ่มเทให้กับการเรียนทั้งวันทั้งคืน และมักจะอยู่คนเดียวเสมอที่โรงเรียน ไม่เคยสนใจชีวิตความเป็นอยู่ของนักเรียนคนอื่นๆ หรือแม้แต่อาจารย์เองก็ตาม จินก็ไม่ค่อยได้พูดจาด้วยมากเท่าไหร่
เขาทุ่มเทให้กับการเรียนทั้งวันทั้งคืน และมักจะอยู่คนเดียวเสมอที่โรงเรียน ไม่เคยสนใจชีวิตความเป็นอยู่ของนักเรียนคนอื่นๆ หรือแม้แต่อาจารย์เองก็ตาม จินก็ไม่ค่อยได้พูดจาด้วยมากเท่าไหร่
ช่วงนั้นเกมส์แฟมิคอมกำลังเป็นที่แพร่หลาย นักเรียนหลายๆคนต่างก็คุยกันแต่เรื่องเกมส์กันอย่างสนุกสนาน ในระหว่างทางเดินกลับบ้านมีร้านเกมส์มากมายที่เด็กๆไปยืนดูเกมส์นั้นเกมส์นี้ พอได้ยินเสียงปิ๊งป่องๆๆ ของเกมส์ดังขึ้นบ่อยเข้า จินก็เริ่มสนใจ และอดไม่ได้ที่จะหันไปดูบ้าง
พอเห็นเพื่อนๆทุกคนต่างมีเกมส์เล่นกันทั้งนั้น เขาก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมานิดๆ
พ่อคงไม่มีทางซื้อของแบบนี้ให้แน่นอน..
พอเห็นเพื่อนๆทุกคนต่างมีเกมส์เล่นกันทั้งนั้น เขาก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมานิดๆ
พ่อคงไม่มีทางซื้อของแบบนี้ให้แน่นอน..
แท๊น แทน แทนแทน ..
เสียงเปิดของเกมส์แฟมิคอมยังคงดังก้องอยู่ในหัว แม้จะกลับมาถึงบ้านแล้วก็ตาม
เสียงเปิดของเกมส์แฟมิคอมยังคงดังก้องอยู่ในหัว แม้จะกลับมาถึงบ้านแล้วก็ตาม
อ๊าาา..อยากลองเล่นบ้างจังเลย...มีแต่ความคิดแบบนี้อยู่ในหัวจนนอนไม่หลับ
เช้าวันรุ่งขึ้นจินถึงกับก้มหัวขอเพื่อนที่เขาคิดว่าสนิทมากที่สุดในห้อง
"ขอร้องละ ขอยืมเกมส์แฟมิคอมเล่นวันนึงเหอะนะ"
"ห๊ะ??"
"ไม่เอาหล่ะ เรื่องอะไรชั้นต้องให้นายยืมด้วย"
"ครั้งเดียวเอง ขอยืมหน่อยนะ ได้โปรด"
จินพูดอ้อนวอนพร้อมกับก้มหัวอยู่แบบนั้นจนเพื่อนเริ่มใจอ่อน
"อ่ะ ก็ได้ วันเดียวนะ"
จินดีใจมาก พอกลับถึงบ้านก็เล่นเกมส์ทันที แน่นอนว่าเกมส์ที่ดังสุดๆตอนนั้นก็ต้องเป็นมาริโอ
แท่น แทน แท๊น เสียงเพลงเปิดมาริโอดังขึ้น
"หวาา มาริโอมาแล้วๆๆ"
"ได้เห็ดแล้ว เย้ๆ"
"อ๊า.. กระโดดไม่ถึง"
"อ้าว ตายซะแล้ว"
จินเล่นเกมส์กดอย่างสนุกสนานจนลืมเวลาและไม่ได้สนใจบรรยากาศรอบๆตัว
เขาไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่า คุณพ่อเดินเข้ามาในห้องตั้งแต่เมื่อไหร่
พอรู้สึกตัวอีกที เกมส์กดในมือก็โดนคุณพ่อแย่งไปต่อหน้าต่อตา คุณพ่อไม่พูดอะไรทั้งสิ้น ดึงสายไฟออก แล้วเดินลงไปในสวนข้างล่าง จินวิ่งตามลงมาด้วยความตกใจ และเห็นพ่อของตัวเองเอาฆ้อนทุบเกมส์แฟมิคอมของเพื่อนแตกเป็นเสี่ยงๆโดยไม่พูดอะไรซักคำ โดยที่จินได้แต่ยืนมองน้ำตาปริ่ม
วันรุ่งขึ้น จินหอบเอาเครื่องเล่นเกมส์ที่แตกชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปหาเพื่อน
"ขอโทษนะ .. ชั้นทำหล่นแตกไปแล้ว"
จินพูดโกหกเพื่อนไปแบบนั้นเพื่อให้มันดูเป็นอุบัติเหตุ เป็นข้อแก้ตัวเท่าที่เด็กป.3คนหนึ่งจะคิดได้
"เอ๋..............ทำไม"
เพื่อนคนนั้นร้องไห้เสียงดัง
"ขอโทษ"
" ฮืออ ไม่ต้องมาพูดเลย แกไม่ใช่เพื่อนชั้นอีกต่อไปแล้ว"
เพื่อนคนนั้นพูดทั้งน้ำตานองหน้า
จินรู้สึกผิดกับเพื่อนมาก แต่ก็ไม่รู้จะแก้ไขยังไงดี แม้จะเรียนเก่งซักแค่ไหน แต่จินก็มักจะมีปัญหาในการเข้าสังคมตลอด ไหนจะเรื่องที่คุณพ่อมาขึ้นเสียงกับอาจารย์ที่โรงเรียน แล้วยังเรื่องที่เขาทำเกมส์ของเพื่อนเจ๊งนี่อีก ทำให้ชีวิตในวัยประถมของจินดำเนินไปด้วยการเรียนด้วยตัวคนเดียวเสมอมา
จินรู้สึกผิดกับเพื่อนมาก แต่ก็ไม่รู้จะแก้ไขยังไงดี แม้จะเรียนเก่งซักแค่ไหน แต่จินก็มักจะมีปัญหาในการเข้าสังคมตลอด ไหนจะเรื่องที่คุณพ่อมาขึ้นเสียงกับอาจารย์ที่โรงเรียน แล้วยังเรื่องที่เขาทำเกมส์ของเพื่อนเจ๊งนี่อีก ทำให้ชีวิตในวัยประถมของจินดำเนินไปด้วยการเรียนด้วยตัวคนเดียวเสมอมา
ในตอนนั้น ช่วงเวลาที่ได้ผ่อนคลายบ้างก็จะมีแค่บางเวลาที่ได้ไปเล่นในสวนกับน้องชายที่อายุห่างกัน3ปีเท่านั้น ทั้งเล่นก่อกองทราย ปีนบันได และเครื่องเล่นต่างๆ จินเคยช่วยน้องชายที่จะจมน้ำในบ่อไว้ครั้งหนึ่งด้วย ในช่วงเวลานั้น..เรียกได้ว่ามีแค่น้องชายเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวนั่นเอง
นอกจากจินจะชอบอ่านหนังสือแล้ว เขายังชอบวาดรูปอีกด้วย บางครั้งเขาก็มักจะเล่นระบายสีเมจิกับน้องชาย รูปกันดั้มที่เขาวาดนั้นดูดีขนาดที่แม่เอ่ยปากชมตลอด
แต่ว่า...จากเด็กที่เล่นสนุกอย่างไร้เดียงสาและว่านอนสอนง่ายคนนั้น พอเวลาผ่านไป เขาก็โตขึ้นมากลายเป็นเด็กที่เริ่มมีใจต่อต้านกับกฎระเบียบต่างๆมากมายที่คุณพ่อสร้างขึ้น
"อย่ามาโกหกพ่อนะ"
"ทำการบ้านเสร็จรึยัง .. แล้วแบบฝึกหัดน่ะ ทำครบแล้วรึเปล่า"
"ทำหมดแล้วครับ"
คำตอบของจินนั้นเหมือนกันทุกวัน .. แต่เบื้องหลังนั้น บางวันก็เป็นเรื่องจริง บางวันก็พูดโกหกไปให้พ้นๆเท่านั้น
วันไหนที่คุณพ่อจับได้ว่าโกหก จินก็จะโดนตบที่แก้มอย่างแรง ไม่มีการยกโทษให้เด็ดขาด
"ทำไมถึงเป็นเด็กขี้โกหกแบบนี้!!"
สำหรับจินแล้ว สิ่งที่คุณพ่อดุด่ามาทั้งหมด เขาคิดว่าต้นเหตุนั้นมาจากเรื่องการเรียนล้วนๆ
ทำให้ยิ่งนานวัน ยิ่งทำให้เขาเกลียดการเรียนหนังสือมากยิ่งขึ้น
ทุกๆวันเขาเฝ้าคิดแต่ว่า ถ้าได้ไปอยู่ในโลกที่ไม่ต้องเรียนหนังสือเลยก็คงดี
แต่โลกแบบนั้นมันไม่มีอยู่จริง ยิ่งคิดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกเบื่อหน่ายกับสิ่งรอบตัวมากขึ้นเท่านั้น
จินกลายเป็นคนที่ไม่ค่อยแสดงสีหน้าอารมณ์อะไรออกมามากนัก แม้จะโกรธหรือโมโหซักเท่าไหร่ก็จะเก็บอารมณ์ที่พุ่งพล่านเหล่านั้นเอาไว้ข้างใน
พอขึ้น ป.4 ครอบครัวก็ได้ย้ายบ้านจากโอซาก้ามาอยู่แถวๆอาราชิยาม่า จ.เกียวโต เป็นบ้านเดี่ยวมือสองที่ซื้อเอาไว้เป็นของตัวเอง มีขนาดเล็กเพียง 1 ใน5ของบ้านหลังเก่า
"บ้านคราวนี้ไม่มีพวกภูติออกมาแล้วนะจ๊ะ" คุณแม่พูดบอกเด็กๆ
เด็กๆทั้งสามตื่นเต้นดีใจกับบ้านหลังใหม่ ทุกคนต่างได้ห้องเป็นของตัวเอง ห้องของจินกับฮิเดะนั้นอยู่ติดกัน มีเพียงประตูเลื่อนแบบญี่ปุ่นกั้นเอาไว้เท่านั้น
ถึงแม้จะได้ไปอยู่บ้านหลังใหม่ แต่ตารางการเรียนที่หนักหนาสาหัสของจินก็ยังคงดำเนินไปเหมือนเดิม ที่เกียวโตนี้ จินที่เรียนอยู่ชั้น ป.4 ต้องไปเรียนกวดวิชาถึง 3ที่ทุกๆวัน วันหนึ่ง ความอดทนของจินก็มาถึงจุดสิ้นสุด เขาเดินออกจากห้องเรียนกวดวิชากลางคันแล้วไม่กลับมาอีกเลยจนมืดค่ำ
เมื่อทางโรงเรียนก็แจ้งไปให้คุณแม่ได้ทราบ คุณแม่ก็เริ่มออกตามหาและพบจินนั่งอยู่ที่ริมแม่น้ำเพียงลำพัง
"จินจัง ไหวมั้ยลูก ไม่เป็นไรนะ"
"... "
จินไม่ตอบอะไร จริงๆแล้วก็คือไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
พอเห็นสีหน้าที่ดูเป็นห่วงของคุณแม่ ก็รู้สึกผิดขึ้นมาจับใจ
"เรื่องวันนี้ แม่ไม่บอกพ่อหรอก ไม่เป็นไรนะ กลับบ้านกันเถอะ แล้วพรุ่งนี้เริ่มต้นกันใหม่นะ"
ใบหน้าที่อ่อนโยนของคุณแม่ ไม่มีค่ำบ่นว่าใดๆเลยซักนิด ทำให้จินได้คิดทบทวนสิ่งที่ได้ทำลงไป
ในระหว่างทางกลับบ้านเต็มไปด้วยความรู้สึกเสียใจที่ทำให้คุณแม่เป็นห่วงและลำบาก
พอกลับมาถึงบ้าน คนที่รออยู่ที่นั่นคือคุณพ่อที่กำลังโกรธจัด เดาได้ไม่ยากว่าทางโรงเรียนคงจะแจ้งเรื่องวันนี้ไปที่คุณพ่อเช่นเดียวกัน
"นี่แกทำอะไรของแก"
"...."
"บอกว่าจะไปเรียน แล้วหายหัวไปไหนมาห๊ะ"
"....."
เสียงตะคอกของพ่อดังลั่นจนตัวสั่น แต่จินก็ไม่ได้ตอบอะไรทั้งสิ้น
ทันใดนั้น กำปั้นของคนเป็นพ่อก็ปลิวมาโดนหน้าอย่างแรง จินล้มลงกับพื้นไปตามแรงหมัด เขาร้องไห้เสียงดังด้วยความกลัวผสมกับความเจ็บปวด
"เข้าใจมั้ย!! ทีหลังอย่ามาพูดโกหกแบบนี้อีกนะ"
ถึงแม้ว่าในตอนนั้นจินจะกลัวพ่อจนตัวสั่น แต่ไม่ว่าจะโดนพ่อด่าว่าซักเท่าไหร่ ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าอยากจะเรียนหนังสือมากขึ้นเลยซักนิด ในหัวใจลึกๆยังคงอยากจะหนีออกไปจากโลกที่มีแต่เรื่องเรียนแบบนี้อยู่ตลอดเวลา
หลังจากนั้นจินก็เริ่มโดดเรียนพิเศษบ่อยขึ้นเรื่อยๆ โดยแกล้งทำเป็นกลับบ้านตรงตามเวลาเหมือนเดิม แบบฝึกหัดที่ต้องทำวันละ 50ข้อนั้นก็เริ่มที่จะละเลย ไม่ค่อยได้ทำเท่าไหร่ ถ้าวันไหนคุณพ่อไม่อยู่บ้านก็ดีไป แต่วันไหนถ้าแจคพอต คุณพ่อกลับมาบ้าน ก็จะโดนพ่อโมโหใส่ทุกครั้ง ทั้งโดนต่อว่า ตะคอก และบางครั้งก็ทำโทษให้ไปนั่งนอกบ้านในฤดูหนาวจัดที่อุณภูมิต่ำกว่า 5 องศา
แม้ว่าคุณแม่จะคอยเอ่ยปากห้าม แต่ก็ดูเหมือนว่าพ่อจะไม่ฟังเอาเสียเลย ทุกครั้งที่คุณแม่บอกว่า "พอทีเถอะ " คุณพ่อก็จะตะคอกบอกว่า "เธอไม่เกี่ยว เงียบซะ!!"
จินกลายเป็นคนที่ไม่ค่อยแสดงสีหน้าอารมณ์อะไรออกมามากนัก แม้จะโกรธหรือโมโหซักเท่าไหร่ก็จะเก็บอารมณ์ที่พุ่งพล่านเหล่านั้นเอาไว้ข้างใน
พอขึ้น ป.4 ครอบครัวก็ได้ย้ายบ้านจากโอซาก้ามาอยู่แถวๆอาราชิยาม่า จ.เกียวโต เป็นบ้านเดี่ยวมือสองที่ซื้อเอาไว้เป็นของตัวเอง มีขนาดเล็กเพียง 1 ใน5ของบ้านหลังเก่า
"บ้านคราวนี้ไม่มีพวกภูติออกมาแล้วนะจ๊ะ" คุณแม่พูดบอกเด็กๆ
เด็กๆทั้งสามตื่นเต้นดีใจกับบ้านหลังใหม่ ทุกคนต่างได้ห้องเป็นของตัวเอง ห้องของจินกับฮิเดะนั้นอยู่ติดกัน มีเพียงประตูเลื่อนแบบญี่ปุ่นกั้นเอาไว้เท่านั้น
ถึงแม้จะได้ไปอยู่บ้านหลังใหม่ แต่ตารางการเรียนที่หนักหนาสาหัสของจินก็ยังคงดำเนินไปเหมือนเดิม ที่เกียวโตนี้ จินที่เรียนอยู่ชั้น ป.4 ต้องไปเรียนกวดวิชาถึง 3ที่ทุกๆวัน วันหนึ่ง ความอดทนของจินก็มาถึงจุดสิ้นสุด เขาเดินออกจากห้องเรียนกวดวิชากลางคันแล้วไม่กลับมาอีกเลยจนมืดค่ำ
เมื่อทางโรงเรียนก็แจ้งไปให้คุณแม่ได้ทราบ คุณแม่ก็เริ่มออกตามหาและพบจินนั่งอยู่ที่ริมแม่น้ำเพียงลำพัง
"จินจัง ไหวมั้ยลูก ไม่เป็นไรนะ"
"... "
จินไม่ตอบอะไร จริงๆแล้วก็คือไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
พอเห็นสีหน้าที่ดูเป็นห่วงของคุณแม่ ก็รู้สึกผิดขึ้นมาจับใจ
"เรื่องวันนี้ แม่ไม่บอกพ่อหรอก ไม่เป็นไรนะ กลับบ้านกันเถอะ แล้วพรุ่งนี้เริ่มต้นกันใหม่นะ"
ใบหน้าที่อ่อนโยนของคุณแม่ ไม่มีค่ำบ่นว่าใดๆเลยซักนิด ทำให้จินได้คิดทบทวนสิ่งที่ได้ทำลงไป
ในระหว่างทางกลับบ้านเต็มไปด้วยความรู้สึกเสียใจที่ทำให้คุณแม่เป็นห่วงและลำบาก
พอกลับมาถึงบ้าน คนที่รออยู่ที่นั่นคือคุณพ่อที่กำลังโกรธจัด เดาได้ไม่ยากว่าทางโรงเรียนคงจะแจ้งเรื่องวันนี้ไปที่คุณพ่อเช่นเดียวกัน
"นี่แกทำอะไรของแก"
"...."
"บอกว่าจะไปเรียน แล้วหายหัวไปไหนมาห๊ะ"
"....."
เสียงตะคอกของพ่อดังลั่นจนตัวสั่น แต่จินก็ไม่ได้ตอบอะไรทั้งสิ้น
ทันใดนั้น กำปั้นของคนเป็นพ่อก็ปลิวมาโดนหน้าอย่างแรง จินล้มลงกับพื้นไปตามแรงหมัด เขาร้องไห้เสียงดังด้วยความกลัวผสมกับความเจ็บปวด
"เข้าใจมั้ย!! ทีหลังอย่ามาพูดโกหกแบบนี้อีกนะ"
ถึงแม้ว่าในตอนนั้นจินจะกลัวพ่อจนตัวสั่น แต่ไม่ว่าจะโดนพ่อด่าว่าซักเท่าไหร่ ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าอยากจะเรียนหนังสือมากขึ้นเลยซักนิด ในหัวใจลึกๆยังคงอยากจะหนีออกไปจากโลกที่มีแต่เรื่องเรียนแบบนี้อยู่ตลอดเวลา
หลังจากนั้นจินก็เริ่มโดดเรียนพิเศษบ่อยขึ้นเรื่อยๆ โดยแกล้งทำเป็นกลับบ้านตรงตามเวลาเหมือนเดิม แบบฝึกหัดที่ต้องทำวันละ 50ข้อนั้นก็เริ่มที่จะละเลย ไม่ค่อยได้ทำเท่าไหร่ ถ้าวันไหนคุณพ่อไม่อยู่บ้านก็ดีไป แต่วันไหนถ้าแจคพอต คุณพ่อกลับมาบ้าน ก็จะโดนพ่อโมโหใส่ทุกครั้ง ทั้งโดนต่อว่า ตะคอก และบางครั้งก็ทำโทษให้ไปนั่งนอกบ้านในฤดูหนาวจัดที่อุณภูมิต่ำกว่า 5 องศา
แม้ว่าคุณแม่จะคอยเอ่ยปากห้าม แต่ก็ดูเหมือนว่าพ่อจะไม่ฟังเอาเสียเลย ทุกครั้งที่คุณแม่บอกว่า "พอทีเถอะ " คุณพ่อก็จะตะคอกบอกว่า "เธอไม่เกี่ยว เงียบซะ!!"
"แกเลือกที่จะเกิดมาในตระกูลนี้เองนะ รู้จักอดทนซะบ้าง "
"นั่งสำนึกผิดอยู่ตรงนั้นไปอีก2ชั่วโมงซะ"
เสียงของคุณพ่อตะโกนออกมาใส่จินที่นั่งหนาวสั่นอยู่ข้างหน้าประตู ในหัวเต็มไปด้วยความคิดที่ว่า...
ถ้าเลือกได้ ชั้นคงไม่เลือกเกิดมาในบ้านนี้หรอก
ทำไม ต้องเกิดมาในบ้านแบบนี้ด้วยนะ
อยากจะวิ่งหนีไปตอนนี้ แล้วจะไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีกเลย
แต่เมื่อคิดด้วยเหตุผลและความเป็นไปได้แล้ว จินในวัยเด็กแค่นั้นก็ยังมองไม่เห็นแนวทางที่ตัวเองจะใช้ชีวิตได้เมื่อไม่มีครอบครัวคอยช่วยเหลือ ได้แต่เก็บความเจ็บไว้ข้างใน แล้วรอคอยเวลาให้ผ่านไปท่ามกลางความหนาวเหน็บ
เวลาผ่านไป 2ชั่วโมง คุณแม่เปิดประตูมาหาด้วยความเป็นห่วง ทั้งหาเสื้อผ้าให้ใส่ทับ และเตรียมน้ำร้อนไว้ให้อาบ หลังจากที่จินเข้าบ้านมา แช่น้ำร้อน แล้วกินอาหารเย็นเสร็จก็เดินกลับเข้าไปในห้อง
เขานอนลงบนฟูกแล้วเริ่มร้องไห้เงียบๆ
มีชีวิตอยู่แบบนี้ก็เหมือนกับอยู่ในคุกดีๆนี่เอง
ต้องมีสภาพอยู่แบบนักโทษแบบนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่กันนะ..
เป็นความคิดของจินในวัย 10ขวบ ณ ตอนนั้น
ไม่ใช่ว่าพ่อจะเข้มงวดอยู่กับจินซะคนเดียว ไม่ว่าจะเป็นพี่สาวหรือว่าฮิเดะที่เป็นน้องชาย ต่างคนต่างก็โดนด่า โดนตะคอกด้วยกันทุกคนเมื่อทำผิด ทุกครั้งที่พี่สาวหรือน้องชายโดนพ่อว่า จินก็อดไม่ได้ที่จะคิดดีใจอยู่เล็กๆว่า
"ค่อยยังชั่วหน่อยที่วันนี้ไม่ใช่ชั้น"
เวลาที่เจ้าน้องชายตัวเล็กโดนพ่อทำโทษจนร้องไห้งอแง แม้จินจะเดินเข้าไปปลอบในฐานะพี่ชายว่า "ฮิเดะ เป็นอะไรมากป่าว" แต่ในใจลึกๆเองตอนนั้นก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่า "นายน่ะ ยังดีนะที่สัปดาห์นี้โดนไปแค่ครั้งเดียว ชั้นโดนมาตั้ง 6ครั้งแล้ว เจ็บกว่านายอีกเยอะ" เป็นความดำมืดในจิตใจที่เกิดขึ้นโดยที่ไม่สามารถพูดออกไปได้
พอจินขึ้นชั้น ม.ปลาย เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ฮิเดะได้ขึ้นชั้นม.ต้น และต้องจากบ้านที่เกียวโตเพื่อไปเรียนที่โคจิเพียงตัวคนเดียว ในหัวของจินนั้นอดคิดเปรียบเทียบไม่ได้ว่าทำไมพ่อได้หยิบยื่นโอกาสให้น้องชายได้ไปใช้ชีวิตตามใจชอบ ความอิสระที่ฮิเดะได้รับนั้น จินอยากได้มาตลอดแต่ไม่เคยได้สัมผัสซักครั้ง
จากนั้นมาตัวตนที่ชอบเก็บกดและเอาแต่ร้องไห้ของจินก็หายไป อารมณ์โกรธที่เคยเอาแต่สะสมไว้ข้างใน ถูกระเบิดออกมาใส่ผู้คนรอบข้าง แค่เดินไปสบตากับใครที่มีท่าทางไม่พอใจ ก็เริ่มปล่อยหมัดออกไปทันทีเพื่อระบายอารมณ์ มีเรื่องทะเลาะกับคนอื่นอยู่เสมอโดยไม่สนว่าอีกฝ่ายจะเป็นใครมาจากไหน
ตัวของจินในตอนนั้นเปรียบเหมือนไดนาไมท์ที่พร้อมจะระเบิดอยู่ตลอดเวลา
ทุกครั้งที่ปล่อยหมัดออกไป ทุกครั้งที่มีเรื่องทะเลาะวิวาท ภายในหัวใจของจินนั้นลึกๆ แล้วมีเสียงหนึ่งที่ตะโกนร้องตลอดเวลาว่า ว่าเรื่องที่ทำอยู่นี้ไม่ใช่ความต้องการที่แท้จริงของตัวเองซะเลย ความอ่อนแอ ความไม่มั่นใจว่าจะต้องทำยังไงดีกับชีวิตตอนนี้ จินทำได้แค่เก็บซ่อนมันไว้ข้างในแล้วระบายอารมณ์โกรธออกมาเท่านั้น
"โกะไดคุง ..ที่จริงแล้วเป็นคนใจดีออกนะ"
"ชั้นเข้าใจเธอนะ"
คำพูดของเพื่อนผู้หญิงคนนึงที่อยู่ในห้องเดียวกันได้ช่วยเยียวยาหัวใจของจินไว้ เพียงแค่ได้มองเธอ หัวใจก็เริ่มหวั่นไหวอย่างประหลาด เป็นครั้งแรกที่จินรู้สึก "ชอบ" ใครซักคน
แต่พอออกนอกชั้นเรียน จินก็ยังคงมีเรื่องกับคนอื่นไปทั่วอย่างไม่สามารถหยุดตัวเองได้ ชนะบ้าง แพ้บ้าง แต่ส่วนใหญ่นั้นคือชนะ
จะต้องต่อยตรงไหนถึงจะได้ผลมากที่สุด เป็นเรื่องที่พ่อได้สอนไว้เองเมื่อตอนเป็นเด็กๆ คุณพ่อที่เป็นคุณหมอนั้นรู้ดีที่สุดเรื่องร่างกายมนุษย์ ดังนั้นสิ่งที่พ่อพูดมานั้นคือถูกต้องที่สุด
"จำไว้นะ ว่าถ้ามีเรื่องกันละก็ ชกเข้าที่ตรงนี้แค่ทีเดียว ร่างกายมนุษย์น่ะ ทนไม่ได้หรอก"
สำหรับจินที่มีเรื่องกับเค้าไปทั่ว ... คำพูดนั้นเป็นคำสอนที่จินรู้สึกว่ามีประโยชน์ที่สุดแล้วของพ่อ
Sorette kiseki -บทที่ 2.5 การเติบโตของจิน
Reviewed by ITadmin
on
09:53:00
Rating:
![Sorette kiseki -บทที่ 2.5 การเติบโตของจิน](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhZBFfrnSaMpwUtPGaJoN_a8XSnHCksDpylRxhvHBdYEM7qDytrJGct2tqnXLsxqm2SBQE6WfeRw8SMf28lKgN3xsc3at9d8uyTTBtIbDr4kTARoCnXFErc0yc_bnjpy7iaqxW5QD0AtUI/s72-c/pub_SAS4376.jpg)
เอาจริงๆอยากให้จินโดดตึกแบบในละครเลยดีกว่า พ่อจะได้ยกโทษกับเค้าให้555555(ล้อเล่นแค่หยอกๆหย่อยนะ ทุกคนอย่าด่าเรานะอิอิ)
ReplyDelete